ความเชื่อจะต้องทำมากกว่าสวด
บารทิเมอัส คือ บุคคลตัวอย่างของความเชื่อ ในพระวรสารประจำวันอาทิตย์นี้ พระวรสารบอกว่าเขาเป็นชายตาบอด ที่นั่งขอทานอยู่ริมทางแม้ตาบอด แต่หู และโสตประสาทอื่นๆ ไม่บอดตามไปด้วย เขารับรู้ และสัมผัสถึงการจะเสด็จผ่านมาของพระเยซูเจ้า ดังนั้นขณะที่พระองค์กำลังจะผ่านไป เขาก็เริ่มร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากพระองค์
เขาเป็นชายตาบอดที่ฉลาด เพราะรับรู้ถึงเวลาของพระพร และพระหรรษทาน ที่กำลังจะผ่านมา ดังนั้นเขาจึงรีบฉกฉวยโอกาสทองนี้ไม่ให้หลุดลอยไป
ในการดำเนินชีวิตคริสตชน เราจะต้องฉลาด และรู้จักแยกแยะ และมองให้ออกถึงเวลาของพระหรรษทาน
ปีแห่งความเชื่อ ถือว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่ง ของพระหรรษทานที่พระประทานให้แก่เรา เป็นช่วงเวลาของการเสด็จผ่านของพระเยซูเจ้าเป็นกรณีพิเศษ
ในที่นี้เราจะต้องทำความเข้าใจถึงความหมายของคำว่า พระหรรษทาน พูดให้กระชับก็คือ พระหรรษทาน คือ ชีวิตของพระเยซูเจ้าเอง พระหรรษทานไม่ได้เป็น น้ำ หรือ อะไรก็ตาม ที่หล่นลงมาจากฟ้าสวรรค์ ดังนั้นแม่พระผู้เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน ก็คือ แม่พระเปี่ยมไปด้วยชีวิตของพระเยซูเจ้า
การตะโกนร้องขอความช่วยเหลือของบารทิเมอัส คือการสวดภาวนา ที่คนๆหนึ่งต้องการความช่วยเหลือจากบุคคลที่มีอำนาจที่จะช่วยเขาได้
ขั้นต่อไป คือ พระเยซูเจ้าบอกให้เขาเข้ามาหาพระองค์ เขาก็เข้ามาหา ความใกล้ชิด ระหว่างพระเยซูเจ้า กับ บารทิเมอัส ชายตาบอดจึงเริ่มต้นขึ้นแต่เพียงแค่นี้ พระเยซูเจ้าก็พอพระทัยแล้ว และพระองค์ก็ช่วยเขาให้หายตาบอด “ความเชื่อของเจ้าได้ช่วยให้รอดพ้นแล้ว” “การเข้ามาหาเรา เราก็พร้อมจะช่วยแล้ว”
เพียงแค่เข้ามาหาพระองค์ เขาก็หายจากตาบอดแล้ว
พระวรสารได้บันทึกต่อไปว่า “เขากลับไปแลเห็น และเดินทางติดตามพระองค์ไป”
ส่วนที่สามนี้สำคัญที่สุด คือ การเดินทางติดตามพระเยซูเจ้า
การเดินทางติดตามพระเยซูเจ้า คือ กระบวนการแห่งความเชื่อ
ติดตามพระเยซูเจ้าไม่ได้แปลว่า เดินตามหลังพระองค์ต้อยๆ เหมือนลูกเดินตามแม่
แต่ติดตามพระเยซูเจ้า แปลว่า
1. การฟังพระองค์พูดสอนและ
2. ทำตามที่พระองค์พูดสอน
บารทิเมอัส ได้ติดตามพระเยซูเจ้าด้วยกระบวนการ 2 ขั้นตอนนี้ และแน่นอนว่าชีวิตของชายผู้นี้จะต้องเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
สวัสดี…พ่อสานิจ