ประกาศข่าวดีอย่างยากจน
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในพระศาสนจักรมีการพูดกันทั่วไป ถึงความจำเป็นในการประกาศข่าวดี การประกาศข่าวดีเป็นหน้าที่ของทุกคนไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ นักบวช และฆราวาส การประกาศข่าวดีต้องทำอย่างเข้มข้น และแม้ในการสัมมนาพระสงฆ์ทั่วประเทศ ที่จะจัดขึ้นที่บ้านผู้หว่านเป็นครั้งที่ 29 ระหว่างวัน จันทร์ที่ 15 กรกฎาคม ถึง วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2013 หัวข้อการสัมมนาก็เป็นหัวข้อ “พระสงฆ์กับการฟื้นฟูการประกาศข่าวดีขึ้นใหม่”
การฟื้นฟูการประกาศข่าวดีขึ้นใหม่ หรือ จะใช้วิธีการ หรือ อุปกรณ์เครื่องมือใดในการประกาศข่าวดี สิ่งที่จะต้องไม่ลืม คือ การประกาศข่าวดีต้องอยู่ในแนวทาง และวิธีการที่พระเยซูเจ้าแนะนำ
พระวรสารวันนี้ ให้แนวทางและวิธีการของงานประกาศข่าวดี ซึ่งจะขอพูดเป็นข้อๆดังนี้
เราส่งท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะในฝูงสุนัขป่า(ลูกา 10:3) สุนัขป่าเป็นสัตว์ที่ฉลาดแกมโกง สำหรับพระเยซูเจ้า สุนัขป่าที่พระองค์หมายถึง คือปีศาจ และลูกสมุนของมัน อันได้แก่ ชาวโลกผู้นิยมชมชอบ และเทิดทูนวิถีของโลก ปีศาจใช้บุคคล และกระแสโลกเหล่านี้เพื่อทำงานของมัน ดังนั้นเราต้องฉลาด แต่ความฉลาดที่เราจะใช้ต่อสู้กับโลกนั้น ต้องไม่ใช่ความฉลาดแบบโลก แต่ต้องเป็นความฉลาดแบบพระ อย่าลืมแม้เราจะฉลาดปราดเปรื่องสักเพียงใด แม้เราจะมีความรู้ในศาสตร์เกือบทุกแขนง แต่เราก็ยังโง่กว่าพวกเทวดาตกสวรรค์ นั่นก็คือปีศาจนั่นเอง และยอห์นเรียกปีศาจว่า “บิดาแห่งการโกหกหลอกลวง” (ยอห์น 8:44) เรามนุษย์ถึงแม้จะฉลาดปราดเปรื่องแต่ก็ยังโง่กว่าปีศาจอยู่ดี ดังนั้นความฉลาดของเราจะต้องเป็นความฉลาดแบบที่พระให้ อันได้แก่ คำแนะนำแห่งพระวรสาร (Evangelical Counsel)
ประเด็นถัดไปคือ อย่านำถุงเงิน ย่าม หรือ รองเท้า ไปด้วย (ลูกา 10:4) คำสั่งนี้สะท้อนความต้องการของพระเยซูเจ้า คือต้องประกาศข่าวดีด้วยชีวิตที่ยากจน และในเรื่องนี้ พระเยซูเจ้าทรงเป็นตัวอย่างตั้งแต่เกิดจนตาย เกิดในถ้ำเลี้ยงสัตว์ มีผ้าพันกายผืนเดียว มีพ่อแม่ที่ยากจน ตัวพระองค์เองก็ดำเนินชีวิตอย่างยากจน ไม่มีสมบัติติดตัว ไม่มีบ้านที่จะซุกหัวนอน และคำสอนที่ทรงสอน ก็เป็นคำสอนที่เชิญชวนเราให้ใช้ชีวิตยากจน และสุดท้ายทรงตายอย่างยากจน โดยมีผ้าพันกายเพียงผืนเดียวเหมือนกับตอนเกิด เรื่องของความยากจน มีคำอธิบายที่ค่อนข้างละเอียดและลึกซึ้ง ความยากจนไม่ได้ แปลว่า ไม่มีเงิน หรือ สมบัติแต่เพียงอย่างเดียว
ต่อมา กินและดื่มของที่เขาจะนำมาให้ (ลูกา 10:7) พระองค์ทรงสอนผู้ประกาศข่าวดี ไม่ให้เป็นคนพิถีพิถันหรือหมกมุ่นวุ่นวาย ในเรื่องการกินการดื่ม คือ จงเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย ไม่ต้องสรรหาของกินที่วิเศษวิโสหายาก หรือมีราคาแพง
อีกข้อหนึ่งที่สำคัญ อย่าเสียเวลาทักทายผู้ใดตามทาง….อย่าเข้าบ้านนี้ออกบ้านโน้น (ลูกา 10:4+7) ทรงสอนผู้ประกาศข่าวดี ว่า อย่าทำตัวเป็นพวกชอบเข้าสังคม (Socialized) หรือเป็นพวกสังคมจัด ชอบรู้จักกับคนโน้นคนนี้ ชอบมีคนดังเป็นเพื่อน ฯลฯ
คงจะพูดเพียงแค่นี้ก็แล้วกัน ถ้าพูดมากกว่านี้อาจจะไปกระทบกับใครหลายๆคน
และสุดท้าย ท่านเปาโลพูดเอง “ข้าพเจ้ามีรอยประทับตราของพระเยซูเจ้าอยู่ในร่างกายของข้าพเจ้าแล้ว (กาลาเทีย 6:17) คือท่านกำลังบอกว่าท่านได้พยายามปรับเปลี่ยนชีวิตของท่านให้เหมือนหรือคล้ายกับชีวิตของพระเยซูเจ้าแล้ว (ดังที่บรรยายมาข้างบน) ดังนั้นท่านจึงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่และบังเกิดผล ดังนั้น “นับแต่นี้ไป อย่าให้ใครมารบกวนข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 6:17) ท่านสั่งไม่ให้ใครไปพยายามเปลี่ยนชีวิตของท่านให้ทันสมัยเป็นไปตามกระแสโลก ท่านเป็นอย่างของท่านนั้นดีแล้ว ทำงานได้ และทำงานได้ดีด้วย
ทั้งหลายทั้งปวงคงจะเป็นคำตอบได้บ้างว่า รูปแบบการทำงานประกาศข่าวดีของเรา ควรจะเป็นอย่างไร