“พระองค์ทรงปลอบโยนหัวใจที่บอบช้ำ… ของเรา”
“มารดาปลอบโยนบุตรฉันใด เราก็จะปลอบโยนท่านทั้งหลายฉันนั้นท่านจะได้รับการปลอบโยนในกรุงเยรูซาเล็ม”(อสย66:13)
สัปดาห์ที่ผ่านมามีพี่น้องคริสตชนหลายท่านจบชีวิตในโลกนี้กันไป บ้างเป็นนักบวชนักบวชหญิง“ซิสเตอร์เธ-โอดอร์” ซิสเตอร์ของภคิณีคณะอุร์สุลิน ท่านสูงอายุและเจ็บป่วยมานานพอสมควร มีฆราวาสอีกท่านหนึ่งอดีตเคยเป็นคุณครูที่โรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์สามพราน โรงเรียนสำหรับบ้านเณรเล็กของสังฆมณฑลกรุงเทพฯด้วย “คุณป้าเซซีลีอา สุวรรณีตรีธารา” มีคุณพ่อหลายท่านที่เคยเป็นนักเรียนในสมัยที่ท่านสอนเรียนในเวลานั้น ก่อนที่ท่านจะเสียท่านยังช่วยงานพระศาสนจักรในหน่วยงานฆราวาสแพร่ธรรมศาสนสัมพันธ์อีกด้วย ยังมีพี่น้องอีกท่านหนึ่งทราบว่าก็เสียชีวิตในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับสองท่านข้างต้น
“ความตาย” น่ากลัวเหลือหลายในความคิดอ่านของเรา“ฉันจะอยู่กับความตายได้อย่างไร?” “แล้วถ้าคนในครอบครัวของฉันกำลังเผชิญกับความตาย…ฉันจะอยู่ได้อย่างไรจะทำอะไรได้บ้าง?”
“มารดาปลอบโยนบุตรฉันใดเราก็จะปลอบโยนท่านทั้งหลายฉันนั้น ท่านจะได้รับการปลอบโยนในกรุงเยรูซาเล็ม” (อสย66:13)
บ้างเจ็บปวดเศร้าเสียใจ แต่พยายามเก็บกักไว้ในใจไม่แสดงออกทางน้ำตาหรือสีหน้าท่าทาง เขาเรียกว่า“เก็บอาการ” บ้างก็พยายามทำเช่นกันแต่ความทุกข์ความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักและผูกพันนั้น ทะลุทะลวงทำนบที่ว่าแข็งแกร่งดุจดังแผ่นเหล็กให้เป็นรูโหว่และทะลักออกอย่างไม่ต่างจากครั้งที่น้ำท่วมใหญ่เมื่อปีสองปีที่ผ่านมาเขาเรียกว่า“ทำนบแตก”
“ข้าวที่จะเกี่ยวมีมากแต่คนงานมีน้อยจงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด” (ลก10:2)
ในยามเจ็บปวดเจียนตาย พระเป็นเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งเรา พระองค์จะทรงส่งคนมาเพื่อบรรเทาใจเรามาเป็นมิตรเป็นเพื่อนแท้อยู่เคียงข้างเราเสมอ ท่ามกลางช่วงเวลาอันเจ็บปวดและเลวร้ายสุดๆของพี่น้องของเรา การไปร่วมสวดภาวนาสำหรับผู้เจ็บป่วยและครอบครัวจึงสำคัญ การไปร่วมให้กำลังใจและภาวนาอุทิศสำหรับผู้ล่วงลับไปแล้วจึงมีความยิ่งใหญ่มีคุณค่ามหาศาล หลายครั้งมิใช่เพื่อผู้ตายเป็นหลักด้วยซ้ำไป แต่สำหรับเป็นพยานให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้พบว่า“พระไม่เคยทอดทิ้งเรา” ผ่านทางเพื่อนพี่น้องที่มาร่วมภาวนาและให้กำลังใจให้เขาได้รับความบรรเทาใจและมีกำลังเดินหน้าในชีวิตคริสตชนต่อไปได้อีก
“ข้าวที่จะเกี่ยวมีมากแต่คนงานมีน้อยจงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด” (ลก10:2)
แต่ละวัน เราแต่ละคนก็เป็นดังคนงานของพระบิดาที่มอบพลังใจพลังรักจากมิตรแท้เช่นนี้ให้แก่กันและกัน ใช่ว่าคนงานของพระองค์จะไม่เหน็ดเหนื่อย ใช่ว่าจะมีครบทุกสิ่งทุกอย่าง ใช่ว่าจะมีกำลังกายพลังใจเต็มเปี่ยมไปเสียทุกครั้งไป แต่อาศัยพระหรรษทานของพระ ศีลมหาสนิทและความเชื่อ พระองค์ก็ทรงเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตของเราให้มีพอเพียงสำหรับแบ่งปันและบรรเทาใจกันและกัน
“เราบอกความจริงกับท่านว่าไม่มีใครที่ละทิ้งบ้านเรือนพี่น้องชายหญิงบิดามารดาบุตรหรือไร่นาเพราะเห็นแก่เราและเพราะเห็นแก่ข่าวดีจะไม่ได้รับการตอบแทนร้อยเท่าในโลกนี้เขาจะได้บ้านเรือนพี่น้องชายหญิงมารดาบุตรไร่นาพร้อมกับการเบียดเบียนและในโลกหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร”(มก10:30) และที่สำคัญ “จงชื่นชมยินดีมากกว่าที่ชื่อของท่านจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว”(ลก10:20)