สวัสดีครับ
สัปดาห์ละครั้ง อาทิตย์ที่ 11 ส.ค. 2013
“วนิพกพเนจร” ชื่อเพลงที่ท็อปฮิตมากในสมัยสามสิบปีที่แล้ว ขับร้องโดยวงคาราบาว วงดนตรีเพื่อชีวิตที่จัดคอนเสิร์ตที่ไหนอันตรายต่อชีวิตแทบทุกครั้งไปคือแฟนเพลงต้องตีกันอยู่เสมอๆ
เนื้อหาสาระของเพลงกล่าวถึงขอทานตาบอดที่ต้องลำบากขอทานประทังชีวิตซึ่งเป็นความจริงของสังคมในสมัยนั้นที่มีขอทานอยู่ทั่วไปมากกว่าสมัยนี้คงไม่ต้องบรรยายขยายความอะไรในสังคมสมัยนั้นมากนัก… แต่ที่ผมยังจำข้อความในเนื้อเพลงวรรคหนึ่งที่ว่า“…ตาบอดมองไม่เห็น”ได้และชอบพูดเล่นเสมอว่า… แล้วคนตาบอดที่ไหนจะมองเห็นถ้ามองเห็นก็แสดงว่าไม่ใช่คนตาบอดนะซิ… เอ้าก็เข้าใจว่าพี่แอ๊ดเขาต้องการจะย้ำคำทำให้เข้ากับทำนองร้องอะไรทำนองนี้เสียมากกว่า
พูดถึงคนตาบอดว่าจะมีสภาพเป็นอย่างไรผมว่าพวกเราพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองเลยกล่าวคือเราก็ทดลองหลับตาดูหรือเอาผ้ามาปิดตาเสียและคิดว่าเราจะต้องมีสภาพเช่นนั้นตลอดไป… ได้ยินคนพูดพูดกับคนอื่นๆได้แต่ไม่สามารถมองเห็น… เอาเป็นว่าใครจะรู้สึกอย่างไรถือเป็นเรื่องส่วนตัวนะครับ
มีอยู่ครั้งหนึ่งเขามีการจัดโต้วาทีในญัตติ“หูหนวกดีกว่าตาบอด” ระหว่างคนตาบอดกับคนหูหนวกต้องมีล่ามภาษามือช่วยเพราะหูหนวกต้องเป็นใบ้ด้วยงานวันนั้นสนุกสนานดีทั้งสองฝ่ายพูดในแง่ดีของตนเองและพยายามบอกว่าฝ่ายตรงข้ามดีสู้ตนไม่ได้… สรุปแล้ววันนั้นทั้ง2 ฝ่ายต่างก็ได้สิ่งดีๆมีกำลังใจ“สู้ชีวิต” และความพิการของตนได้อีกเยอะ…
ย้อนมาดูพระวาจาวันนี้พระเยซูเจ้าสอนให้เราเตรียมพร้อมที่จะต้อนรับการเสด็จมาอีกครั้งหนึ่งของพระองค์อันหมายถึงวันที่เราจะต้องตายนั่นเองซึ่งเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่อย่างไร… พระองค์ทรงเล่าเรื่องคนใช้ที่รอนายกลับจากงานมงคลรอเพื่อที่จะรับใช้นายของตนแต่เมื่อนายกลับมาจริงพบคนใช้ที่กระทำเช่นนี้… นายจะดีใจนอกจากจะไม่ต้องให้คนรับใช้มารับใช้ตนเองแล้วนายยังให้รางวัลด้วยการช่วยเหลือให้บริการคนใช้คนนั้นเสียอีกนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายหรือคาดไม่ถึงและถ้าจะพูดเป็นภาษาวัยรุ่นสักหน่อยจะบอก“เข็มขัดสั้น”ก็ได้
พี่น้องชีวิตของเราจึงต้องระลึกเสมอว่าเราจะต้องดำเนินชีวิตเหมือนคนใช้คนนี้กล่าวคือต้องเป็นคนดีเป็นคริสตชนที่ดีอยู่กับเพื่อนพี่น้องรอบข้างด้วยความรักที่แท้จริง… ซึ่งพวกเราทุกคนต่างทราบกันดีอยู่แล้วเพียงแต่ว่าเราจะปฏิบัติกันได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง… สวัสดีครับ.