ปฏิรูปเปลี่ยนชีวิตและสังคม
สมัยเป็นเณรใหญ่อยู่ที่ปีนัง เมื่อสัก 46 ปีก่อน ขณะเรียนวิชาพระคัมภีร์ อาจารย์ผู้สอนได้สอนว่า ประกาศกที่พูดสอนมากเกี่ยวกับปัญหาสังคม หรือ ตำหนิติเตียนสภาพสังคมที่เลวร้าย ก็คือ ประกาศกอาโมส ท่านพูดถึงสภาพสังคมในยุคสมัยของท่าน ท่านพูดถึงสังคมในยุคสมัยต่อๆมา และสิ่งที่ประกาศกพูดก็ยังสามารถนำมาปรับ ประยุกต์ใช้กับสังคมปัจจุบันได้อย่างเหมาะเจาะ
บทอ่านวันนี้ อาโมสพูดถึงการย่ำยีคนยากจนขัดสน การเอารัดเอาเปรียบผู้ด้อยโอกาส และการมองดูมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะคนจนว่ามีค่าแค่รองเท้าสานเพียงคู่เดียว ท่านพูดถึงโภคทรัพย์ของโลกที่ถูกตักตวงเอามาใช้ประโยชน์สำหรับตัวเอง แม้กระทั่งกากข้าวสาลีก็เอามาขายเอาเงิน
สังคมปัจจุบันไม่แตกต่างจากสิ่งที่อาโมสพูดแม้แต่น้อย ทุกอย่างถูกสูบเอามาใช้อย่างไม่บันยะบันยัง ทุกอย่างถูกนำเอามาหาประโยชน์ เพื่อความสุขส่วนตน สังคมยุคปัจจุบันขาดซึ่งจิตสำนึกที่ถูกต้อง สำนึกเดียวที่มี และกำลังแรงขึ้นทุกๆวัน คือ จิตสำนึกแบบทุนนิยม หรือ จิตสำนึกมุ่งสู่การบริโภค คนจำนวนไม่น้อยจ้องแต่จะบริโภค และจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้ได้มาซึ่งปัจจัยที่จะนำไปสู่การบริโภคที่มากขึ้นๆซึ่งได้แก่ เงิน ยอมทั้งขายและซื้อ ขายทุกอย่างเท่าที่จะขายได้ แม้กระทั่งตัวเองและลูกหลาน ซื้อทุกอย่างเท่าที่จะซื้อได้ ซื้อขายเก้าอี้ ซื้อขายตำแหน่ง ซื้อขายสิทธิ์ ซื้อขายเสียง ฯลฯ ทรัพยากรต่างๆของโลกที่จะต้องแบ่งปันกันใช้ แบ่งกันบริโภคถูกมองว่าเป็นสิ่งที่จะต้องตักตวง เป็นสิ่งที่จะต้องหาทางเอามาเป็นของตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
สังคมปัจจุบันได้กลายเป็นสังคมที่ไร้ซึ่งจิตสำนึกที่ดีและถูกต้องไปเสียแล้ว
อาโมสจึงเตือนคนในสมัยของท่าน และคนในสมัยนี้ให้ระวังพฤติกรรมของตัวเองเพราะ “พระเจ้าจะไม่ลืมการกระทำของพวกท่านเลย”
ความชั่ว ความเลวร้ายต่างๆจะได้รับการตอบแทนเมื่อเวลาของการตัดสินมาถึง แม้ในปัจจุบันจะดูเหมือนว่าคนที่ทำความเลว ความชั่ว จะยังคงลอยนวลอยู่ แต่วันเวลาจะมาถึงในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว
“เรื่องที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้าเป็นอย่างไร จงทำบัญชีรายงานการจัดการของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้จัดการอีกต่อไป”
การตักตวงกอบโกยที่มนุษย์กระทำอยู่ทั้งในปัจจุบัน อดีต และจะทำต่อๆไปในอนาคต เกิดจากการที่มนุษย์หลงและลืมตัวเอง ว่าตัวเองเป็นแค่ผู้จัดการ และไม่ใช่เจ้าของ ผู้จัดการที่ถูกเจ้านายเรียกร้องให้มีความสัตย์ซื่อ ตรงไปตรงมา ประหยัด มัธยัสถ์ มีเมตตา รู้จักบริหารทรัพยากรของผู้ฝากอย่างยุติธรรม ไม่ฉกฉวยประโยชน์อันไม่พึงมีพึงได้มาเป็นของตัวเองจากทรัพยากรเหล่านั้น
แต่มนุษย์กลับลืมและหลงในเรื่องนี้ และพูดอยู่อย่างเดียวว่า ตัวกูของกู
และพอถึงทางตันก็หาทางออกอย่างผิดๆดังเช่น ผู้จัดการในพระวรสารวันนี้
ส่วนอีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรลืมก็คือ ต่อหน้าพระเป็นเจ้าเราเป็นเพียง ผู้จัดการ เราเป็นเพียงคนรับใช้ของพระเจ้า เราเป็นเพียงผู้ดูแลทรัพยากรที่พระทรงฝากไว้เท่านั้น และ พระเยซูเจ้าก็ทรงเตือนเราอยู่เสมอๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ในนิทานเปรียบเทียบของพระองค์
สุดท้ายนักบุญเปาโลเตือนเราให้สวดภาวนาแทน พร้อมกับ ขอบพระคุณพระเจ้าเพื่อ มนุษย์ทุกคนเป็นต้นบรรดากษัตริย์และผู้มีอำนาจ รวมทั้งผู้ทำหน้าที่ปกครอง ให้ทุกคนมีชีวิตที่สงบสุขราบรื่น ให้ทุกคนมีชีวิตที่มีเกียรติ แต่ชีวิตที่สงบสุขราบรื่น และมีเกียรติ ต้องขึ้นอยู่กับสิ่งเดียวคือ ทุกคนต้องเคารพรักพระเจ้า
ดังนั้นเราคงจะต้องปรับคำภาวนาของเราให้เหมาะสมเสียใหม่ คือ สวดขอให้ทุกคน ทั้งคริสตชน และไม่ใช่คริสตชน สวดให้บรรดาผู้นำ และผู้ถือครองอำนาจทุกคนให้
1. อย่าลืมตัว
2. ให้ทุกคนดำเนินชีวิตด้วยความเคารพรักพระเจ้า
แต่เป็นความเคารพรักพระเจ้า ที่อยู่บนพื้นฐานของความเคารพเชื่อฟังพระองค์ เคารพเชื่อฟังพระในทุกสิ่งที่พระสอนผ่านทางคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า
และปีแห่งความเชื่อ ควรจะเน้นสิ่งนี้เป็นกรณีพิเศษ มากกว่าการเน้นการจัดกิจกรรมภายนอก การสวมใส่เสื้อปีความเชื่อ การประดับธงปีแห่งความเชื่อ หรือทำสิ่งอื่นๆ ภายนอกที่ไม่สร้างจิตวิญญาณที่ถูกต้อง เพราะปีแห่งความเชื่อ เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองทางจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่จะต้องหันหนีจากความไม่เชื่อฟังมาสู่ความเชื่อฟัง หันหนีจากความหยิ่งจองหองมาสู่ความนอบน้อมเชื่อฟัง หันหนีจากความดื้อดึงมาสู่การยอมทำตามการดูดลใจของพระจิต