สวัสดีครับ
สัปดาห์ละครั้ง 15 มิ.ย. 2014
(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
ประการที่สอง ต้องมีความเชื่อมั่นในพระเป็นเจ้าว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราในอดีตกำลังเป็นอยู่กับเราในปัจจุบันและจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นล้วนแล้วแต่เป็นพระประสงค์ของพระองค์พระวาจาที่บอกว่า“มิใช่เจ้าที่เลือกเราแต่เป็นเราที่เลือกเจ้า…”คือการประกาศอย่างชัดแจ้งถึงน้ำพระทัยของพระองค์ที่ทรงจัดทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเราไม่ว่าเราจะเป็นพระสงฆ์เป็นนักบวชหรือเป็นฆราวาสก็ตาม
นอกจากนั้นพระวาจาที่พระบิดาตรัสจากท้องฟ้าในวันที่พระเยซูเจ้ารับพิธีล้างที่ทรงบอกว่า“ผู้นี้คือบุตรสุดที่รักของเรา…” ก็เป็นพระวาจาเดียวกันที่ประกาศในวันที่เรารับศีลล้างบาปด้วยเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นเหตุให้เราต้องชื่นชมยินดีและภูมิใจในความเป็นบุตรของพระเจ้าที่เราได้รับและจะต้องรักษาสถานะภาพของการเป็นบุตรนี้ให้คงอยู่ถาวรตลอดไป
ประการที่สาม เมื่อถึงฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่ย่อมทำให้เราเกิดความหวังคือการที่จะได้กลับเป็นบุตรของพระเป็นเจ้าอีกครั้งหนึ่งหลังจากถูกเนรเทศเพราะบาปและความผิดที่เกิดขึ้นจากอาดัม-เอวาบรรพบุรุษของเราอันหมายถึงการที่เราจะได้กลับมีความสัมพันธ์กับพระองค์เป็นฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่ที่แจ่มใสและอุดมสมบูรณ์เป็นสิ่งที่กลับมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งเพราะได้ติดกับลำต้นนั่นเอง
ประการที่สี่ การรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้ายังเป็นเครื่องหมายของการมอบชีวิตการอุทิศตนเองยอมรับกฎเกณฑ์ระเบียบของมนุษย์ทั้งๆที่พระองค์ทรงเป็นพระเป็นเจ้าทำให้คิดถึงบรรดาพระสงฆ์และนักบวชที่นอนหมอบราบกับพื้นเป็นเครื่องหมายของการอุทิศตนการมอบชีวิตให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
นอกจากนั้นในพิธีล้างบาปยังมีการประกาศยืนยันความเชื่อมาขอความเชื่อในภาษาอังกฤษคำว่าBelieveที่แปลว่าเชื่อนั้นยังมีความหมายถึงการละทิ้งชีวิตเก่าเพื่อมีชีวิตใหม่อีกด้วย
(ต่อสัปดาห์หน้า… สวัสดีครับ)