หน้าที่ประกาศกในชีวิตคริสตชน
ในวันที่เราได้รับศีลล้างบาปไม่ว่าจะรับตอนเป็นเด็กทารก หรือ รับตอนเป็นผู้ใหญ่ มหัศจรรย์อันหนึ่งจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราก็คือ การถ่ายเทชีวิต ชีวิตเก่าซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของปีศาจ หรือในสมัยโบราณที่เราเรียกกันว่า การเป็นลูกปีศาจ ถูกถ่ายเทออกไป และเกิดการถ่ายเทชีวิตใหม่เข้ามาแทนที่ ชีวิตใหม่ซึ่งเป็นชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า และทำให้เราเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตวิญญาณกลายเป็น ลูกพระ
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจริงในแง่ของจิตวิญญาณ โดยที่ผู้รับศีลล้างบาปจะไม่สามารถรู้สึก หรือ สัมผัส ถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆในแง่ของกายภาพ
ชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้าที่ถูกถ่ายเทเข้ามาในตัวเราด้วยการปฏิบัติงานของพระจิตเจ้า ทำให้คริสตชนแต่ละคนได้รับอัตลักษณ์ 3 ประการ ที่เป็นอัตลักษณ์ประจำพระองค์ของพระเยซูคริสตเจ้าเอง อัตลักษณ์ทั้ง 3 นั้นได้แก่ อัตลักษณ์แห่งการเป็น
สงฆ์ ประกาศก และ กษัตริย์
อัตลักษณ์ของการเป็นประกาศก ผลักดันคริสตชนให้ต้องทำหน้าที่ เป็นปากเป็นเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า และแง่มุมหนึ่งของการเป็นปากเป็นเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็คือ การว่ากล่าวตักเตือน
“บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราแต่งตั้งท่านให้เป็นคนยามสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล ท่านได้ยินถ้อยคำจากปากของเราเมื่อใด ท่านจงตักเตือนแทนเราเถิด” (เอเสเคียล 33:7)
“ถ้าพี่น้องของท่านทำผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำพัง ฯลฯ” (มัทธิว 18:15)
การตักเตือนกันและกันเป็นสิ่งต้องกระทำในฐานะที่เราเป็นคริสตชน และมีชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้าในตัวเรา แต่การว่ากล่าวตักเตือนกันและกันนี้ เป็นสิ่งยากที่จะกระทำ และจะต้องอาศัยความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง นอกนั้นการปล่อยปละละเลย ไม่ตักเตือน ทั้งๆที่เห็นความผิด ความไม่ถูกต้อง อยู่ต่อหน้าต่อตาก็ถือเป็นความผิดร้ายแรง ที่พระเป็นเจ้าก็จะคิดบัญชีกับเราด้วย
“……แต่เราจะเอาผิดกับท่าน เพราะความตายของเขา…..”(เอเสเคียล 33:8)
เมื่อการตักเตือนว่ากล่าวเป็นสิ่งที่ต้องทำ เราก็จะต้องทำด้วยความรัก นั่นคือการต้องหาวิธีการตักเตือนพี่น้องอย่างนิ่มนวล แบบชนิดต้องไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่พี่น้องที่ถูกตักเตือน ดังที่ท่านเปาโลกล่าวไว้ในจดหมายถึงชาวโรม ในวันนี้
“ความรักไม่ทำความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์” (โรม 13:10)
ดังนั้นผู้ตักเตือนก็จะต้องประยุกต์ใช้แนวทางปฏิบัติด้วยความรักจาก 1 โครินธ์ บทที่ 13 ข้อ 4-7 มาใช้
“ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง”
และสุดท้าย นอกจากต้องทำหน้าที่ตักเตือนอย่างพี่อย่างน้องแล้ว เรายังต้องร่วมกันสวดภาวนา ให้แก่ผู้ที่ถูกตักเตือนอีกด้วย
“ถ้าท่านสองคนบนแผ่นดินพร้อมใจกันอ้อนวอนของสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้” (มัทธิว 18:19) และสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่พระเป็นเจ้าพอพระทัยมากที่สุดก็คือ ความปรารถนาอยากให้คนบาปกลับใจ เพราะความปรารถนาอยากให้คนบาปกลับใจก็คือ จิตวิญญาณแห่งรัก แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมก็คือ การกระทำหรือการปฏิบัติต้องควบคู่ไปกับการภาวนา