สวัสดีครับ
สัปดาห์ละครั้ง อาทิตย์ที่ 5 ต.ค. 2014
(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
ทรงเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ทรงนำบรรดาศิษย์ออกไปใกล้หมู่บ้านเบธานีทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพระพรและขณะที่อวยพระพรนั้นพระองค์ทรงแยกไปจากพวกเขาและทรงถูกนำขึ้นสู่สวรรค์บรรดาศิษย์กราบมนัสการพระองค์แล้วกลับไปกรุงเยรูซาเล็มด้วยความยินดียิ่งเขาอยู่ในพระวิหารตลอดเวลาถวายพระพรแด่พระเจ้า(ลก24:50-53)
การเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์หมายถึงการเสด็จกลับไปอยู่กับพระบิดาหลังจากที่ทรงเสด็จมารับสภาพมนุษย์บนโลกนี้33 ปีกระทำภารกิจที่พระบิดาทรงมอบหมายคือการไถ่กู้มนุษย์สำเร็จลงซึ่งมีคำกล่าวถึงเรื่องนี้ในบทข้าพเจ้าเชื่อหรือบทยืนยันความเชื่อที่เราสวดกันทุกครั้งในมิสซาวันอาทิตย์หรือวันฉลองที่ว่า… “…ทรงเสด็จขึ้นสวรรค์ประทับเบื้องขวาพระบิดา”
การเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูนี้มิได้หมายความว่าต่อไปนี้มนุษย์ทุกคนจะได้รอดพ้นไม่มีใครตกนรกแล้วแต่เป็นการยืนยันอย่างแจ้งชัดว่าพระเป็นเจ้าทรงรักมนุษย์ทรงกระทำการไถ่กู้มนุษย์ด้วยการกระทำในส่วนของพระองค์เสร็จสมบูรณ์แล้ว… แต่มนุษย์คนใดจะได้รับผลของการไถ่กู้นี้ยังต้องการความร่วมมือของมนุษย์คนนั้นด้วยเรียกว่ามนุษย์จะรอดได้จะต้องออกแรงต้องพยายามกระทำตนเองอย่างดีให้เป็นไปตามวิธีการที่พระเยซูเจ้าทรงสอนและทรงเป็นแบบอย่างดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมดแล้ว…
จึงสรุปได้ว่าพระเป็นเจ้ายังทรงรักมนุษย์และให้อิสรเสรีภาพกับมนุษย์เองที่จะเลือกกระทำตนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์นำมาให้หรือไม่หรือพูดง่ายๆก็คือความรอดพ้นจะเกิดขึ้นกับมนุษย์คนใดหรือไม่นั้นย่อมขึ้นกับตัวเองเป็นสำคัญด้วย…
การที่พระองค์ทรงให้อิสรภาพหรือเสรีภาพกับมนุษย์ให้ตัดสินใจด้วยตัวเองนี้คือความรักอันยิ่งใหญ่ที่ทรงมอบให้แก่มนุษย์ตั้งแต่สร้างโลก(อาดัม-เอวา) สิ่งนี้เองที่ทำให้มนุษย์เป็นสิ่งสร้างที่สูงส่งประเสริฐที่สุดและแม้บัดนี้พระองค์ก็ยังทรงให้มนุษย์มีความสำคัญมีคุณค่าไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน
สรุปสุดท้ายจากเรื่องราวของพระเยซูเจ้าในช่วง3 ปีสุดท้ายของพระองค์จึงถือเป็นคำสอนที่เป็นทั้งจากพระวาจาของพระองค์และที่สำคัญจากสิ่งต่างๆที่พระองค์ทรงกระทำเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนติดดินเป็นธรรมชาติทรงสอนด้วยเรื่องใกล้ตัวในอุปมาหรือเรื่องเล่าต่างๆที่พระองค์ทรงสอนหรือทรงกระทำที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน
ชีวิตของพระเยซูเจ้าจึงไม่ใช่ชีวิตพระที่สัมผัสไม่ได้หากแต่เป็นผู้ที่เราสัมผัสได้จริงๆทุกครั้งที่ฟังหรืออ่านพระวรสารถ้าหากเราฟังหรืออ่านด้วยมโนภาพตามไปประหนึ่งว่าเราอยู่ณที่นั้นในเหตุการณ์นั้นเราจะเข้าใจและรู้ซึ่งในวิธีการที่จะต้องเป็นคริสตชนที่แท้จริงมากขึ้น…