ฆาตกรยังลอยนวล
“คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด เราจะได้มรดกของเขา”
อุปมาเรื่องคนเช่าสวนชั่วร้าย เป็นอุปมาที่พระเยซูเจ้ามุ่งจะเตือนสติชาวยิว เป็นต้นผู้นำชาวยิว ซึ่งได้แก่บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี ว่าพวกเขาก็คือ คนเช่าสวนชั่วร้ายที่กำลังมุ่งเข่นฆ่าพระเยซูเจ้า และด้วยอุปมานี้ พระองค์ทรงพุ่งเป้าไปที่บรรดาหัวหน้าสมณะ และฟาริสีเป็นกรณีพิเศษ พวกเขาผู้ซึ่งแม้จะเป็นผู้นำทางศาสนาแต่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย มิหนำซ้ำยังชักชวน ชาวยิวให้หลงผิดตามพวกเขาไปด้วย
ฆ่าลูกเจ้าของสวนเพื่อจะได้สวนองุ่นนั้นมาครอบครอง
อาการหลงผิดเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน อาการหลงผิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ 2 รูปแบบคือโดยเจตนา หรือ ไม่เจตนา
ความหลงผิดแบบไม่มีเจตนานั้น เกิดจากความไม่รู้และความไม่รู้นั้นก็เกิดจากการไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน หรือ ขาดการอบรมสั่งสอน รวมทั้งการไม่มีโอกาส หรือช่องทางที่จะรับรู้สิ่งที่ถูกต้อง อาการหลงผิดประเภทนี้ ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า Ignorance (ความไม่รู้) ส่วนผู้หลงผิดดังกล่าวแม้จะมีความผิดแต่ก็เป็นความผิดสถานเบา
ความหลงผิดแบบมีเจตนาก็คือความหลงผิดที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่รู้ว่าผิดแต่ก็ยังจงใจกระทำสิ่งที่ผิดนั้น และความจงใจนี้เกิดจากสาเหตุหลายๆประการด้วยกัน และการจะถอนตัวจากความหลงผิดประเภทนี้ ทำได้ไม่ง่ายนักยิ่งถ้าบุคคลผู้นั้นมีอีโก้ (ego) ที่ซึมลึกการถอนตัวก็จะยิ่งยากขึ้นเป็นทวีคูณ ภาษาฝรั่งเรียกอาการแบบนั้นว่า Persistence (ความดื้อรั้น) ความดื้อรั้นนี้มีทั้งทางดี และทางไม่ดี ความผิดจะหนักยิ่งขึ้น ถ้าผู้นั้นเสี้ยมสอนให้ผู้อื่นทำตามตนเป็นต้นในทางผิดๆ
กรณีของฟาริสีและหัวหน้าสมณะเป็นความหลงผิดแบบมีเจตนา เรื่องของคนเช่าสวนชั่วร้าย ความหลงผิดที่เกิดขึ้นโดยรู้ว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ของตัว แต่มุ่งยึดครอบครองเอามาเป็นของตัว เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องฆ่าเจ้าของตัวจริง
เหตุการณ์คนเช่าสวนชั่วร้าย ยังคงเกิดอยู่ในโลกปัจจุบันของเรา โดยที่มนุษย์จำนวนไม่น้อย เกิดอาการหลงผิดโดยเจตนาในสิ่งที่ตัวเองมี ในสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น อาการหลงผิดโดยเจตนานี้ผู้ประพฤติจะถอนตัวออกยาก ยิ่งถ้าผู้นั้นมีอีโก้ (ego) ที่ซึมลึกยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองควรจะปล่อยวาง
ชาวยิวในสมัยพระเยซูเจ้า เป็นผู้อยู่ภายใต้ปกครองของชาวโรมัน พูดให้ตรงๆคือ เป็นทาสและเป็นขี้ข้าชาวโรมัน พวกเขาอยากหลุดพ้นจากการเป็นทาสและเป็นขี้ข้านั้น โดยมุ่งปลดแอก