ปีศักดิ์สิทธิ์ – ปีแห่งการปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากการเป็นทาส
บทอ่านที่ 1 จากหนังสือประกาศกอิสยาห์ ประจำสัปดาห์ที่ 3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าวันนี้ ดูเหมือนจะสอดคล้องเข้ากันได้กับบทพระวรสารในวจนพิธีกรรมตื่นเฝ้าเตรียมฉลองเปิดปีศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักรคาทอลิกไทยในค่ำคืนวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพระวรสารจากนักบุญลูกาบทที่ 4 ข้อ 16-22 เนื้อหาสำคัญอยู่ที่ข้อ 18-19
“พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจนทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำคืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปราณจากพระเจ้า” (ลูกา 4:18-19)
นอกนั้นพระวรสารในคืนวันนั้นยังเกี่ยวเนื่องกับบทอ่านที่ 1 ของคืนวันนั้น ซึ่งนำมาจากหนังสือเลวีนิติ บทที่ 25 ข้อ 1-2 และ 8-17 ซึ่งเนื้อหาพูดถึงปีศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเน้นเนื้อหาของการ ปลดปล่อยบุคคลให้เป็นอิสระ จากพันธะนานัปการ
พันธะทั้งหลายของโลกทำให้บุคคลกลายเป็นทาสและกระบวนการของการพาตัวเข้าไปสู่พันธะหรือการเป็นทาสก็เกิดขึ้นเป็นขั้นตอนดังนี้ 1) บุคคลเริ่มต้นด้วยการเข้าไปติดกับกับสิ่งล่อที่ปีศาจวางเอาไว้ เป็นการเริ่มต้นกระบวนการของพันธะหรือการเป็นทาสจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการที่ 2) บุคคลที่ถูกทำให้เป็นทาสแล้วนั้นก็ทำให้ผู้อื่นกลายเป็นทาสต่อจากตน
พระวรสารลูกาบทที่ 4 ข้อ 16 ถึง 22 คือคำตอบของการเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์เสด็จมาเพื่อช่วยปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจาการเป็นทาส
และการเป็นทาสที่สำคัญสุดของมนุษย์ ก็คือการเป็นทาสของความนิยมทางโลกอันนำไปสู่บาป
ความนิยมทางโลกเป็นผลงานอันวิจิตรของปีศาจ ซึ่งปีศาจคิดค้นกลเม็ดต่างๆ ที่จะทำให้มนุษย์ติดกับตกเป็นทาสของความนิยมเหล่านั้น ซึ่งถ้าเมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ตกหลุมพรางของมัน มนุษย์ก็จะเริ่มต้นกลายเป็นคนตาบอด ซึ่งเป็นการตาบอดทางจิตวิญญาณ ในขณะที่ตาธรรมชาตินั้นใสปิ๊ง
ดังนั้นการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าก็เพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความมืดบอดนั้น “…..องค์พระจิตทรงเจิมข้าพเจ้าไว้…..เพื่อคืนสายตาให้แก่คนตาบอด” (มัทธิว 4:18)
มนุษย์ตกเป็นทาสของอะไร? หรือมนุษย์ตามืดบอดจนตกเป็นทาสของอะไร?
ถ้าเราอ่านพระวาสารลูกาบทที่ 4 บทเดียวกันแต่อ่านให้ขึ้นไปต้นบท คือ ข้อที่ 1 ถึง 13 เราก็จะพบคำตอบ
ลูกา 4 ข้อ 1-13 พูดถึง การประจญพระเยซูเจ้าในที่เปลี่ยว ณ ที่นั้นมันนำเสนอกับดัก 3 อย่าง ซึ่งมันนำมาหลอกล่อพระเยซูเจ้าและเป็น 3 สิ่งที่มันนำมาหลอกล่อมนุษย์เช่นกัน 3 สิ่งนั้นได้แก่
1. วัตถุ (ข้อ 3)
2. อำนาจ (ข้อ 6)
3. ชื่อเสียง (ข้อ 9)
ที่ร้ายก็คือปีศาจมันบอกพระเยซูเจ้าว่า ทั้งวัตถุ ทั้งอำนาจ และชื่อเสียง เป็นของมัน มันจะให้แก่ใครก็ได้ “…..สิ่งเหล่านี้เป็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้ผู้ใดก็ตามความปรารถนา” (ลูกา 4:6) นั่นคือ ทั้งวัตถุ ทั้งอำนาจ และชื่อเสียง เป็นสมบัติของปีศาจ
ณ ตรงนี้ต้องขยายความเกี่ยวกับความนิยมทางวัตถุ ซึ่งไม่ได้หมายความเพียงแด่ เงินทอง ข้าวของ ทรัพย์ศฤงคารเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการรักติดพ้นอยู่กับบุคคลที่หน้าตาสวยงาม หล่อเหลา การรักความสะดวกสบาย การชอบมีข้าทาสบริวารคอยรับใช้ การอยากได้อะไรก็ต้องได้ โดยมีคนคอยนำเสนอและปรนเปรอ ฯลฯ นี่คือการตกเป็นทาสทางวัตถุของบุคคล และถ้ามีความนิยมเหล่านี้อยู่ในตัว บุคคลผู้นั้นก็ทำให้ผู้อื่นกลายเป็นทาสของตน ที่ต้องคอยเอาอกเอาใจปรนเปรอให้ตัวเองได้รับในสิ่งที่ต้องการ
พระเยซูเจ้าทรงชนะการหลอกล่อทั้ง 3 ข้อ แต่มนุษย์แทบทุกคนพ่ายแพ้และติดกับต่อกิเลสทั้ง 3 ประการนี้ โดยมันหลอกพวกเราให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ดี วิเศษและน่าครอบครอง มันยังสร้างให้เกิดความอยาก ในชีวิตของเราแต่ละคนแบบชนิดที่เรียกว่าอยากไม่หยุดและดิ้นไม่หลุด
ผู้ที่สามารถจะหลุดพ้นจากกับดักและการเป็นทาสของทั้ง 3 สิ่งนี้ ก็คือ ผู้ที่ยอมเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนของพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต
ปีศักดิ์สิทธิ์ควรจะเป็นปีที่เราจะต้องเน้นในเรื่องนี้คือ อิสรภาพอันเกิดจากองค์พระเยซูคริสตเจ้า อิสรภาพอันเกิดจากการหลุดพ้นจากการยึดติด และเกาะติดกับกิเลสทั้ง 3
อิสรภาพที่เราจะต้องทำให้เกิดกับตัวของเราเอง ในเวลาเดียวกันเราจะต้องช่วยพี่น้องของเราให้ได้รับอิสรภาพดังกล่าว ด้วยการช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจาการเป็นทาสของกิเลส 3 ประการนี้อย่างจริงจัง