แทนบทสนทนาเจ้าอาวาส
โป๊ปฟรังซิส: “เราเรียนประวัติศาสตร์ความรอดและเทวศาสตร์ได้ แต่ถ้าไม่มีพระจิต เราจะไม่มีวันเข้าใจความจริง”
Posted by editor@popereport.com on 23:17
สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงสอน เราสามารถศึกษาประวัติศาสตร์แห่งความรอด ศึกษาเทวศาสตร์ทุกแขนง แต่เราจะไม่มีวันเข้าใจสัจธรรมความจริง ถ้าเราปราศจากพระจิต ทรงกระตุ้นคริสตชนให้สวดภาวนา เพราะการภาวนาคือการทำให้เราได้ยินเสียงของพระเจ้า ทรงย้ำ อย่าทำอะไรแบบเดิมๆ ทำแบบง่ายๆ ขอไปที เพราะการทำแบบนี้จะทำให้ชีวิตคริสตชนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำเก่าๆ ที่ไม่มีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเลย
ช่วงเช้าวันอังคารที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาในวัดน้อยประจำหอพักซางตา มาร์ธา บทอ่านวันนี้จากหนังสือกิจการอัครสาวก เป็นเหตุการณ์ที่บรรดาศิษย์ประกาศพระวาจาจนมีคนต่างศาสนาจำนวนมากกลับใจมาเป็นศิษย์ติดตามพระเยซู เมื่อบรรดาสาวกได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็ได้ส่ง “บาร์นาบัส” ไปยังเมืองอันทิโอ๊ก และเขาก็ดีใจอย่างมากที่เห็นคนจำนวนมากมาเป็นศิษย์ติดตามพระเยซู
พระสันตะปาปาทรงเทศน์แบ่งปันบทอ่านนี้ว่า “คนต่างศาสนาไม่เข้าใจว่าพระเจ้าคือพระเจ้าของสิ่งใหม่ ดังที่พระองค์ตรัสว่า ‘เราจะทำทุกสิ่งขึ้นใหม่’ พระเจ้าตรัสกับเราแบบนี้ พระองค์ทรงบอกเราว่าพระจิตเสด็จมาเพื่อการนี้ เพื่อฟื้นฟูทุกสิ่ง และยังคงทำงานฟื้นฟูนี้ต่อไปเรื่อยๆ เรื่องนี้ทำให้บางคนเกิดความกลัว ในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรตั้งแต่สมัยของอัครสาวกมาจนถึงปัจจุบัน มีความกลัวมากขนาดไหนที่อยู่บนใบหน้าของเรื่องประหลาดใจ (เซอร์ไพรส์) ที่เกิดจากพระจิต พระเจ้าคือพระเจ้าแห่งความประหลาดใจ “ทั้งบาร์นาบัสและเปโตรต่างเปี่ยมด้วยพระจิต ในตัวทั้งสองคน เป็นพระจิตที่้ทำให้เราเห็นความจริง นั่นคือ พวกเราสามารถศึกษาประวัติศาสตร์แห่งความรอด พวกเราสามารถศึกษาเทวศาสตร์ทุกแขนง แต่ถ้าปราศจากพระจิต เราจะไม่มีวันเข้าใจความจริงได้เลย เป็นพระจิตที่ทำให้เราตระหนักถึงความจริง ในพระวาจาของพระเจ้า ก็เป็นพระจิตที่ทำให้เรารู้ถึงเสียงของพระเยซู พระองค์ผู้ทรงเป็นผู้อภิบาลที่แสนดีได้ตรัสว่า ‘แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา และเราก็รู้จักแกะของเรา แกะของเราจะติดตามเรา’
“ความเจริญก้าวหน้าของพระศาสนจักรก็เป็นผลงานของพระจิต ซึ่งทำให้เราได้ฟังเสียงของพระเจ้า ว่าแต่ เราจะทำอย่างไรเพื่อให้แน่ใจว่าเราได้ยินเสียงของพระเยซูจริงๆ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าผลของสิ่งนี้มาจากพระจิตเจ้า คำตอบก็คือการสวดภาวนานั่นเอง!
“หากไม่มีการสวดภาวนา มันก็จะไม่มีที่ว่างให้กับพระจิต จงวอนขอพระเจ้าโปรดส่งพระจิตมาให้เรา เพื่อที่เราจะได้หยั่งรู้ในทุกสิ่งทุกเวลาที่เราทำ … เราต้องหยั่งรู้ในสิ่งต่างๆ การจะหยั่งรู้ได้ เราต้องสวดภาวนา พวกเราต้องวอนขอพระหรรษทาน บาร์นาบัสเปี่ยมไปด้วยพระจิตและเขาก็รู้เรื่องนี้ในทันที
“พี่น้องที่รัก พ่ออยากสรุปว่า การทำอะไรแบบเดิมๆ ที่เราทำเป็นประจำ ทำแบบง่ายๆ ขอไปที ถือเป็นทัศนคติที่สิ้นใจ พ่ออยากขอร้องทุกคนว่า จงกล้าเผชิญความเสี่ยงด้วยการสวดภาวนา และน้อมรับสิ่งที่พระจิตทำด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน พระจิตจะเรียกร้องเราให้เปลี่ยนแปลงตนเอง นี่แหละคือวิถีของพระจิตเจ้า … ดังนั้น ในมิสซานี้ ขอให้เราวอนขอความกล้าหาญจากพระเจ้า เหมือนที่บรรดาศิษย์มีความกล้าที่จะนำชีวิตของตนไปมอบให้ผู้อื่น ที่สำคัญ อย่าทำให้ชีวิตคริสตชนของเราเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำเก่าๆ ที่ไม่มีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเลย” พระสันตะปาปา ตรัสในช่วงท้าย