จิตสำนึกของคนที่จะทำงานของพระ
เราเพิ่งผ่านการสมโภชนักบุญสำคัญ 2 ท่านของพระศาสนจักร ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่านนักบุญเปโตร และท่านนักบุญเปาโล
ท่านทั้ง 2 เป็นผู้ที่พระเป็นเจ้าเรียก และเลือกให้เป็นผู้ทำงานของพระองค์ คือ งานประกาศข่าวดี และสิ่งที่ท่านทั้ง 2 มีเหมือนๆกันในการทำงานของท่านคือ จิตสำนึกที่ว่างานทุกอย่างสำเร็จลงไปได้ก็เพราะฤทธิ์อำนาจของพระเป็นเจ้าที่ทำงานอยู่ในตัวท่าน ส่วนตัวท่านคือเครื่องมืออันด้อยค่า ต่ำต้อย และไร้ความสามารถ
มนุษย์ทั่วๆไปเวลาทำงานใดๆก็มักจะคิดถึงสมรรถภาพของตนเอง จะทำงานได้ต้องมีสมรรถภาพ ต้องมีความสามารถ และถ้าไม่มี 2 สิ่งนี้ มนุษย์ก็จะเริ่มต้นแสวงหา และเสริมสร้างให้เกิดสมรรถภาพในตนเอง ด้วยการเสาะแสวงหาความรู้ความชำนาญ การพยายามอัปเกรด ตัวตนของตนเอง อันนำไปสู่การแข่งขันในสังคม ยิ่งอัปตัวเองมากเท่าไร ยิ่งแข่งกับคนอื่นมากเท่าไร ก็ยิ่งหลงตัวเอง ที่สุดก็นำพาตัวเองและสังคมไปสู่ความสับสนวุ่นวาย และนี่คือวิถีของมนุษยโลก
สำหรับงานของพระต้องทำตรงกันข้าม งานของพระชื่อก็บ่งบอกอยู่ในตัวแล้วว่าเป็นงานของพระ เมื่อเป็นงานของพระ วิธีการก็ต้องใช้วิธีการของพระ จะใช้วิธีการของมนุษย์เพื่อมาทำงานของพระนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเมื่อจะทำงานของพระจะต้องส่งไปรับการอบรมในต่างประเทศ ต้องเข้าหลักสูตรต่างๆ ต้องทำโน่น ทำนี่มากมาย เพื่อให้งานของพระสำเร็จ จึงถือเป็นความโง่ตามภาษามนุษย์ อัครสาวกในอดีตไม่เคยถูกส่งเข้าโรงเรียน
จะทำงานของพระจะต้องใช้วิธีแบบพระ
บทอ่านที่ 2 จากจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโครินธ์ฉบับที่ 2 สอนทุกๆคนที่จะทำงานของพระ
นักบุญเปาโล หลังจากการกลับใจของท่าน ท่านได้อุทิศตัวเองและชีวิของท่านเพื่อทำงานของพระเป็นเจ้า ท่านมอบตัวเองเป็นเครื่องมือ ให้พระทำงานในตัวท่าน และงานแต่ละอย่างก็สำเร็จไปได้ด้วยดี ความสำเร็จในงานของพระไม่ได้ทำให้ท่านหลงตัวเอง แม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามยิ่งสำเร็จก็ยิ่งถ่อมตัว จิตสำนึกอันหนึ่งที่ท่านมีในตัวคือ จิตสำนึกแห่งความไร้สมรรถภาพของตัวเอง แม้จะทำงานสำเร็จแต่ท่านก็สำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าท่านยังเป็นคนบาป ประโยคสำคัญในจดหมายฉบับนี้ก็คือ
“พระเจ้าทรงให้มีหนามทิ่มแทงเนื้อหนังของข้าพเจ้าดุจทูตของซาตานที่คอยตบตีข้าพเจ้า เพื่อมิให้ข้าพเจ้ายกตนเกินไป”
หนามทิ่มแทงเนื้อหนัง หรือ a thorn in my flesh หลายคนพยายามแปลประโยคนี้ไปต่างๆนานา เช่นหนามที่ทิ่มแทงเนื้อหนัง คือโรคภัยไข้เจ็บฝ่ายร่างกาย เช่น ไข้มาลาเรีย (Malaria) บ้างก็แปลว่าท่านมีโรคลมบ้าหมู (Epilepsy) บ้างก็แปลว่าท่านมีโรคที่เกี่ยวกับสายตา และการมองเห็น ดังที่มีระบุไว้ในจดหมายถึงชาวกาลาเทีย บทที่ 4 ข้อ 13-15 แต่อยากจะแปลความหมายคำพูดของท่านในจดหมายฉบับนี้เสียเหลือเกินว่า หนามที่ทิ่มแทงเนื้อหนัง ของท่านแท้ที่จริงก็คือบาปที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหนัง ที่ท่านต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างหนักหน่วงจนตลอดชีวิตของท่าน จะเป็นบาปอะไรนั้น เราคงไม่ต้องไปขุดคุ้ยหาเพราะท่านระบุชัดว่า มันเป็นผลงานของซาตาน ที่ทำให้ท่านต้องสู้รบ ตบมือกับมันอยู่ตลอดเวลา และการต่อสู้ตัวท่านนี้คงจะล้มลุกคลุกคลานจนตลอดชีวิต
แต่พระเป็นเจ้ายังคงให้ท่านทำงานของพระองค์ต่อไป โดยพระองค์บอกกับท่านว่า “พระหรรษทานของเราเพียงพอสำหรับท่าน” ท่านนักบุญเปาโลยังบันทึกคำพูดของพระเยซูเจ้าที่พูดกับท่านต่อไปอีกว่า “เพราะพระอานุภาพแสดงออกเต็มที่เมื่อมนุษย์มีความอ่อนแอ” และประโยคนี้บ่งชัดว่า ท่านต้องพลาดล้ม ในความอ่อนแอครั้งแล้วเล่า แต่ท่านก็ต่อสู้ต่อไป และลุกขึ้นเริ่มต้นใหม่
นี่คือจิตสำนึกที่คนทำงานของพระจะต้องมีในตัวตนของตนเอง จิตสำนึกดังกล่าวเป็นจิตสำนึกแห่งความสุภาพถ่อมตน จิตสำนึกว่าตนอ่อนแอไร้ความสามารถ และสำคัญสุดคือ ตัวเองคือคนบาป ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพระอยู่ตลอดเวลา แต่ใครก็ตามที่นึกอยู่เสมอว่า กูเก่ง กูแน่ กูเหนือกว่าใคร วันหนึ่งคงจะได้ถูกพระเป็นเจ้าตบหน้าฉาดใหญ่ให้รู้สำนึก ดังที่นักบุญเปาโลเองได้ผ่านประสบการณ์นี้มาในชีวิตของท่านแล้ว