ความเชื่อท้าทายความเชื่อฟัง
บทอ่านที่ 1 จากหนังสือพงศ์กษัตริย์ฉบับที่ 2 และบทพระวรสารมีเนื้อหาที่เหมือนๆกัน คือ “การให้” ในบทอ่านที่ 1 เอลีชาเลี้ยงคน 100 คน ด้วยขนมปัง 20 ก้อน ส่วนในพระวรสารพระเยซูเจ้าทรงเลี้ยงประชาชนกว่า 5000 คน ด้วยขนมปัง 5 ก้อน กับ ปลา 2 ตัว
มันเหลือเชื่อแต่ก็ได้เกิดขึ้นตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้
เอลีชาสั่งว่า “จงแจกให้ทุกคนกินเถิด” ให้ทุกคนได้กินจากสิ่งที่มีนั่นแหละ
ส่วนพระเยซูเจ้า “พวกเราจะซื้อขนมปังที่ไหนให้คนเหล่านี้กิน” แม้จะเป็นการตั้งคำถาม แต่แก่นแท้ของคำถามก็คือ “พวกเราต้องเลี้ยงเขา” “พวกเราต้องให้เขา”
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะ “คิดถึงความอยู่รอดของตัวเอง” เป็นอันดับแรกก่อนที่จะคิดถึงความอยู่รอดของผู้อื่น และยิ่งในภาวะสังคมที่บีบคั้นซึ่งผลักดันให้มนุษย์ต่างคนต่างพยายามเอาตัวรอด ก็ยิ่งทำให้คนสมัยนี้กลายเป็นคน “แปดเหลี่ยม สิบสองคม” ไปโดยปริยาย เลยทำให้ “การรู้จักให้” หรือ “การมีใจกว้างโอบอ้อมอารี” ทำได้ยากยิ่งขึ้น ในขณะที่พระวาจา และ คำสั่งของพระก็ยังคงดังก้องอยู่แบบไม่เปลี่ยนแปลง “พวกเราต้องให้เขา”
มันท้าทายความเชื่อของพวกเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะความเชื่อไม่ใช่แค่การรู้จักคำสอน หรือรู้จักพระเป็นเจ้า แต่ความเชื่อที่เป็นแก่นสาระของชีวิตคริสตชน คือ ความเชื่อฟัง หรือการปฏิบัติตามคำสั่ง การปฏิบัติตามคำสอนของพระเป็นเจ้า ซึ่งคำสั่งและคำสอนเหล่านั้นมาถึงพวกเราผ่านทางพระวาจา และคำสั่งสอนของพระเยซูคริสตเจ้า
มนุษย์ห่วงใยความเป็นอยู่ของตนเองและของลูกหลาน พวกพ้อง ความห่วงใยดังกล่าวนำไปสู่ความกังวล และความเครียด สุดท้ายก็ต้องเข้าโรงพยาบาล ขอนำพระวรสารเกี่ยวกับเรื่องนี้มาลงไว้ให้พวกเราได้อ่านเตือนใจ เป็นพระวรสารของนักบุญมัทธิว บทที่ 6 ข้อ 25 ถึง 33 และเป็นที่น่าสังเกตว่าพระวรสารตอนนี้ ต่อเนื่องจากหัวข้อ “พระเจ้าและเงินทอง” พระวรสารที่ยกมาให้อ่านเตือนให้เรา มีความไว้วางใจในพระเจ้า
“ฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากังวลถึงชีวิตของท่านว่าจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร ชีวิตย่อมสำคัญกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ จงดูนกในอากาศเถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงมันท่านทั้งหลายมิได้มีค่ามากกว่านกหรือท่านใดบ้างที่กังวลแล้วต่ออายุของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึ่งวันได้ ท่านจะกังวลถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ในทุ่งนาเถิด มันเจริญงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง แม้แต่หญ้าในทุ่งนา ซึ่งมีชีวิตอยู่วันนี้ รุ่งขึ้นจะถูกโยนทิ้งในเตาไฟ พระเจ้ายังทรงตกแต่งเช่นนี้พระองค์จะไม่สนพระทัยท่านมากกว่านั้น หรือ ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง ดังนั้นอย่ากังวลและกล่าวว่า เราจะกินอะไรหรือจะดื่มอะไร หรือเราจะนุ่งห่มอะไร เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้คนต่างศาสนาแสวงหา พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้ จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้”
ประโยคสำคัญของพระวรสารตอนนี้ก็คือ “จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน…” ความหมายก็คือ พระองค์สั่งให้เราทำอะไร เราก็จงทำ และให้ทำสิ่งที่พระองค์สั่งนั้นก่อนสิ่งอื่นใด และนี่คือความหมายแท้ๆของความเชื่อฟัง
คริสตชนหลายคนประกาศตนเองว่าเป็นผู้มีความเชื่อ มีความศรัทธาต่อพระ แต่ในชีวิตประจำวันไม่ปรากฏว่าได้ทำสิ่งที่พระเยซูสอนเลย แม้แต่น้อยนิด
เช่นพระเยซูสอนให้มีใจยากจน แต่ชีวิตของคนๆนั้นยังนิยมความหรูหรา ดำเนินชีวิตเยี่ยงไฮโซ ชอบความสะดวกสบาย พร้อมที่จะไหลไปตามกระแสของโลก ฯลฯ
ช่างเป็นความเชื่อที่น่าเอาเป็นตัวอย่างเสียเหลือเกิน !!!