“เขาบอกให้ท่านทำอะไร ก็จงทำเถิด” (ยอห์น 2:5)
เหตุผลของการได้รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณของแม่พระ ที่เราเฉลิมฉลองสมโภชกันในวันนี้ มีเพียงเหตุผลเดียวก็คือ
“เขาบอกให้ทำอะไร ก็จงทำเถิด”
แม่พระไม่ได้เพียงแค่สอน แต่แม่พระยังทำให้เราดูเป็นตัวอย่าง อีกด้วย
แม่พระสอนให้เรารู้จักดำเนินชีวิตปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้าในทุกข้อ ทุกประการ พระประสงค์ซึ่งถ่ายทอดมาสู่พวกเรา ผ่านทางคำสอนทุกข้อทุกประการของพระเยซูคริสตเจ้า นอกจากสอนแล้ว แม่พระยังทรงดำเนินชีวิตให้เราดูเป็นตัวอย่าง
ความนบนอบเชื่อฟังของแม่พระต่อพระเป็นเจ้า เป็นความนบนอบเชื่อฟัง แบบสุดๆ ไม่มีการตั้งคำถามว่าทำไม ไม่มีการขอเหตุผล แต่เป็นการยอมรับน้ำพระทัยของพระเป็นอย่างสุภาพ ถ่อมตน และสงบเสงี่ยม แม้การยอมรับนั้นจะขัดกับความรู้สึกนึกคิด หรือขัดกับความตั้งใจส่วนตัวของแม่พระ หรือแม้ว่าการยอมรับน้ำพระทัยนั้นจะทำให้แม่พระต้องเผชิญกับความยากลำบาก หรือประสบกับความเจ็บปวด แม่พระก็ยอม
“พระสั่งให้แม่พระทำอะไร แม่พระก็ยอมทำตามทุกอย่าง”
การยอมทำตามดังกล่าวทำให้ชีวิตของแม่พระกับชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าสนิทเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแนบแน่นจนแยกจากกันไม่ได้
อันเป็นแบบฉบับของความเป็นหนึ่งเดียวของพระศาสนจักร ความเป็นหนึ่งเดียวอันเกิดจากการยอมปฏิบัติตามน้ำพระทัย
การจัดกิจกรรมโน่น กิจกรรมนี่ เพื่อหวังให้เกิดการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวภายนอก เป็นเพียงแค่การปฏิบัติแบบเปลือกๆ เพราะถ้าหัวใจของผู้มาร่วมกิจกรรมมิได้รวมหลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็เสียทั้งเงิน และเสียทั้งเวลา
“เขาบอกให้ท่านทำอะไร ก็จงทำเถิด” = ความนบนอบเชื่อฟัง
ความนบนอบเชื่อฟังนำแม่พระให้เข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ
มีตัวอย่างของความไม่นบนอบเชื่อฟัง ที่ทำให้บุคคลคนหนึ่งต้องผิดหวังและพลาดโอกาส เขาคนนั้นคือ โมเสส
เมื่อ 2-3 วันก่อนมีบทอ่านจากมิสซาประจำวัน ที่ชี้ให้เห็นว่าทำไมโมเสส ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่จึงพลาดโอกาสเข้าสู่แผ่นดินพระสัญญา นอกนั้นยังต้องตายนอกแผ่นดินพระสัญญาด้วยซ้ำ
บทอ่านที่กล่าวถึงคือบทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 34 ข้อ 1-12
โมเสสนำชาวยิวมาจนถึงติดแผ่นดินพระสัญญาแล้ว พระจึงนำโมเสสขึ้นไปบนยอดเขาชี้ให้เขาดูแผ่นดินพระสัญญา และพระองค์ตรัสกับโมเสสว่า
“นี่คือ แผ่นดินที่เราสาบานแก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ว่าจะยกให้แก่บุตรหลานของเขา เราให้ท่าน(โมเสส) เห็นกับตาของท่าน แต่ท่านจะไม่ได้เข้าไป” (เฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 34 ข้อ 4)
เห็นจะๆอยู่ต่อหน้า แต่อดเข้าไป
คำถามคือว่าทำไม? ทำไมฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ที่พระเป็นเจ้าเรียก และเลือก ให้เป็นผู้นำชาวยิวจนถึงชายแดนของดินแดนแห่งพันธสัญญา แต่กลับเข้าไปไม่ได้ เพราะพระเป็นเจ้าไม่ให้เข้า
เฉลยธรรมบัญญัติ บทเดียวกัน ข้อที่ 7 ยังบันทึกไว้อีกว่า “เมื่อโมเสสสิ้นชีวิต เขามีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปี ตาของเขายังเห็นชัดเจน กำลังยังไม่ลดลง”
แข็งแรงขนาดนั้นแต่ไม่มีสิทธิเข้าแผ่นดินพระสัญญา ทำไม?
ถ้าจะดูสาเหตุ ต้องเปิดไปอ่านหนังสือกันดารวิถี บทที่ 20 ข้อ 1-13 และเราจะได้คำตอบ
เหตุเกิดที่ถิ่นทุรกันดารศิน ประชาชนไม่มีน้ำกิน จึงไปหาโมเสส และอาโรน ร้องเรียนเรื่องไม่มีน้ำกิน
พระเป็นเจ้าจึงสั่งโมเสสกับอาโรน ดังนี้ “ท่านจงไปหยิบไม้เท้า แล้วท่านกับอาโรนพี่ชาย จงเรียกชาวอิสราเอลทั้งหมดมาชุมนุมกัน จงพูดกับก้อนหินนี้ต่อหน้าคนทั้งหลาย แล้วน้ำจะไหลออกมา….” (ข้อ 8)
ให้เราดูว่าโมเสสทำอย่างไรบ้างตามที่พระสั่ง เชิญอ่านกันดารวิถี บทที่ 20 ข้อ 9 ถึง 13 แล้วเราจะได้คำตอบกันดารวิถี บทที่ 20 ข้อ 9 ถึง 13 เขียนไว้ดังนี้
“โมเสสจึงเข้าไปหยิบไม้เท้าที่วางอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ตามพระบัญชา โมเสสและอาโรนเรียกชาวอิสราเอลทั้งหลายมาชุมนุมกันข้างหน้าก้อนหิน โมเสสพูดกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายที่เป็นกบฏ จงฟังเถิด เราทั้งสองคนจะทำให้น้ำไหลออกมาจากหินก้อนนี้เพื่อท่านทั้งหลายได้ไหม” แล้วโมเสสก็ยกมือขึ้นใช้ไม้เท้าตีก้อนหินนั้นสองครั้ง น้ำก็ไหลทะลักออกมามาก คนทั้งหลายและฝูงสัตว์ก็ได้ดื่ม
พระเจ้าทรงลงโทษโมเสสและอาโรน
พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “เพราะท่านทั้งสองคนไม่มีความเชื่อพอจะประกาศความศักดิ์สิทธิ์ของเราต่อหน้าชาวอิสราเอล ท่านจะไม่นำชุมนุมนี้เข้าไปในแผ่นดินที่เราจะประทานให้เขา”
พระเป็นเจ้าสั่งอย่างหนึ่ง โมเสสทำอีกอย่างหนึ่ง เป็นความไม่นบน้อมเชื่อฟัง มิหนำซ้ำยังอวดหยิ่งบอกกับพวกยิวว่า ตัวเองจะเป็นผู้นำให้น้ำไหล แทนที่จะบอกว่าพระเป็นเจ้าเป็นผู้นำ
ความไม่นบนอบเชื่อฟังทำให้โมเสสและอาโรน อดเข้าแผ่นดินพระสัญญา
และถ้าเราไม่นบนอบเชื่อฟัง เราก็จะไม่ได้เข้าสวรรค์เช่นเดียวกัน