สวัสดีครับ
สัปดาห์ละครั้ง 22 มี.ค. 2015
ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาปิดภาคเรียนทำให้หลายคนดีใจและมีอีกบางคนก็ไม่ค่อยจะดีใจเท่าไหร่ถ้าจะแยกให้ชัดว่าใครดีใจใครชอบใครไม่ชอบก็พอจะบอกได้ดังนี้กลุ่มแรกที่ดีใจแน่นอนว่าจะเป็นใครไม่ได้นอกจากบรรดานักเรียนทั้งหลายนั้นเองเพราะจะได้หยุดเรียนมีเวลาเล่นเที่ยวทำกิจกรรมที่ตนชอบได้มากขึ้นและดูเหมือนว่าเป็นเช่นนี้โดยทั่วไปอย่าว่าแต่ปิดเทอมเลยแค่โรงเรียนประกาศหยุดเรียนวันสองวันก็“มีเฮ”กันแล้ว
ส่วนกลุ่มที่ไม่ค่อยจะดีใจเท่าไหร่ก็คงจะได้แก่บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองนั่นแหละเพราะต้องดูแลบุตรหลานต้องเป็นห่วงเป็นกังวลเพราะไม่มีใครดูแลเด็กๆเวลาอยู่บ้านเนื่องจากตนเองต้องไปทำงานฯลฯ
อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบเวลาปิดเรียนเลยนั่นคือบรรดาพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยรถเข็นตามหน้าโรงเรียนข้างโรงเรียนทั้งหลายนั่นแหละเพราะจะขาดลูกค้าสำคัญอันหมายถึงขาดรายได้ไปเกือบหมดเลยที่เคยขายได้วันละหลายพันบาทก็เหลือวันละไม่กี่ร้อยบาทมีบางรายเมื่อคำนวณดูแล้วไม่คุ้มถือโอกาสหยุดขายไปพร้อมกับปิดภาคเรียนก็มี
วันนี้อยากจะเสนอให้เราทั้งหลายหันมาคิดพิจารณากันถึงการดูแลลูกหลานของเราในช่วงปิดภาคเรียนเห็นหลายครอบครัวมีการวางแผนให้บุตรหลานใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการหากิจกรรมเสริมให้พวกเขาเช่นการไปเรียนว่ายน้ำเรียนศิลปะหรือเล่นกีฬาที่เขาชอบซึ่งแน่นอนต้องมีเวลาให้เขาและมีสตางค์เป็นทุนให้ด้วย
หลายคนซึ่งจะเป็นส่วนมากด้วยซ้ำไปที่ให้พวกเขา“เรียนพิเศษ” กับทางโรงเรียนซึ่งความจริงแล้วดูเหมือนว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเพราะไม่ต้องดูแลอะไรพิเศษชีวิตเป็นปกติเหมือนตอนเปิดเรียนเพียงไม่ต้องใส่ชุดนักเรียนเท่านั้นเองแต่จะได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหนอย่างไรนั้นคงจะตัดสินกันไม่ได้เพียงแต่มันทำให้พ่อแม่ผู้ปกครอง“หมดห่วง”ไปได้บ้าง
มีหลายครอบครัวเหมือนกันให้บุตรหลานไปเปลี่ยนบรรยากาศเช่นส่งไปเข้าคอร์สสั้นๆต่างประเทศได้ภาษาอังกฤษและประสบการณ์ซึ่งแน่นอนต้องเป็นครอบครัวที่พอจะมีสตางค์สักหน่อยถ้าไม่ค่อยจะมีทุนนักก็จะส่งบุตรหลานไปอยู่ต่างจังหวัดกับปู่ย่า-ตายายหรือญาติๆซึ่งทำให้เด็กๆมีประสบการณ์ใหม่ๆได้เหมือนกัน
สุดท้ายขอจบด้วยคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบก็ได้คือ“มีสักกี่ครอบครัวที่สนใจส่งบุตรหลานไปเรียนคำสอนไปเข้าค่ายเข้าแคมป์เรื่องศาสนาเรื่องคุณธรรมจริยธรรม?”… สวัสดีครับ.