หลายวันก่อนมีสัตบุรุษท่านหนึ่งถามพ่อว่า“พ่อครับอาสนวิหารหมายถึงอะไรและมีความหมายพิเศษต่างจากโบสถ์ทั่วไปยังไง?” พ่อกลับมาคิดถึงเรื่องนี้และเห็นว่ามีประโยชน์ดีจึงเลยถือโอกาสนี้ให้ความรู้แก่พี่น้องเกี่ยวกับความหมายของคำว่า“วัดหรือโบสถ์”(ศาสนสถานที่ประกอบพิธีกรรมในศาสนาคริสต์) เพราะพ่อเชื่อว่าหลายท่านอาจคงจะยังไม่ทราบว่าสำหรับเราคาทอลิกแล้วเรามีชื่อเรียก“วัดหรือโบสถ์” อยู่หลายชื่อและมีความหมายที่ไม่เหมือนกันด้วย
Cathedral ภาษาไทยเรียกว่า“อาสนวิหาร” ภาษาอิตาเลียนใช้คำว่าCattedrale (คัท-เทด-รา-เล) หรือคำว่าDuomo (ดู-โอ-โม) โดยทั่วๆ ไปจะหมายถึงวัดประจำตำแหน่งของพระสังฆราชปกครองตามปกติแล้วอาสนวิหารจะเป็นวัดที่ได้รับเกียรติสูงการก่อสร้างและการตกแต่งภายในต่างๆจึงได้รับการดูแลและเอาใจใส่เป็นพิเศษทำให้เป็นวัดมีความสวยงามมีความโดดเด่นและสง่างามเป็นพิเศษเช่นอาสนวิหารอัสสัมชัญ(อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ) อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล(อัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง) อาสนวิหารแม่พระปฎิสนธินิรมล(สังฆมณฑลจันทบุรี) อาสนวิหารแม่พระบังเกิด(สังฆมณฑลราชบุรี) เป็นต้น
Church ภาษาไทยเรียกว่า“วัดหรือโบสถ์” ภาษาอิตาเลียนใช้คำว่าChiesa (คิ-เอ-ซา) หมายถึงวัดหรือโบสถ์ที่ก่อสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการโดยมีพระสงฆ์เจ้าอาวาสเป็นผู้ปกครองดูแลและอภิบาลสัตบุรุษโดยขึ้นตรงต่อพระสังฆราชท้องถิ่นเช่นวัดเซนต์หลุยส์วัดซางตาครู้สวัดนักบุญเปโตรสามพรานวัดฟรังซิสเซเวียร์สามเสนเป็นต้น
Chapel ภาษาไทยเรียกว่า“วัดน้อย” ภาษาอิตาเลียนใช้คำว่าCappella (คับ-แปล-ลา) หมายถึงวัดหรือโบสถ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อใช้ตามจุดประสงค์ของคณะนักบวชหน่วยงานหรือองค์การต่างๆซึ่งโดยทั่วไปจะไม่มีพระสงฆ์เจ้าอาวาสหรือการปกครองดูแลอภิบาลสัตบุรุษอย่างเต็มรูปแบบเหมือนรูปแบบวัดเช่นวัดพระจิตเจ้า(วัดประจำโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์) วัดแม่พระรับสาสน์(วัดประจำมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญวิทยาเขตหัวหมาก) วัดประจำอารามคาร์แมลวัดประจำโรงเรียนและวัดประจำสามเณราลัยนักบุญยอแซฟเป็นต้น
Basilica ภาษาไทยเรียกว่า“มหาวิหาร” ภาษาลาตินใช้คำว่าBasilica หมายถึงสิ่งก่อสร้างสาธารณะแบบโบราณโดยคำๆนี้จะมีความหมายทั้ง2 แบบกล่าวคือความหมายแบบดั้งเดิมหมายถึงสิ่งก่อสร้างสาธารณะแบบสถาปัตยกรรมโรมันซึ่งผสมผสานศิลปะกรีก-โรมันเป็นสถานที่ใช้เพื่อตัดสินคดีความและเป็นที่รวมของการค้าด้านต่างๆ ส่วนความหมายทางศาสนาเริ่มมีขึ้นในศตวรษที่4 สมัยจักรวรรดิคอนสแตนตินหมายถึงการสถิตอยู่ของพระเป็นเจ้าเป็นสถานที่ใช้นมัสการพระเจ้าและได้รับการยกสถานะโดยพระสันตะปาปาดังนั้นคำว่ามหาวิหารในปัจจุบันจึงมีความหมายทั้งทางสถาปัตยกรรมและความหมายทางศาสนา
ปัจจุบันเรามีมหาวิหารอยู่ด้วยกัน2 แบบคือ1) มหาวิหารแบบMajor Basilica ซึ่งจะมีพระแท่นสำหรับพระสันตะปาปาและประตูศักดิ์สิทธิ์เพื่อเปิดรับปีศักดิ์สิทธิ์ในโอกาสต่างๆ เช่นมหาวิหารทั้ง4 แห่งที่กรุงโรมได้แก่มหาวิหารนักบุญยอห์นลาเตรันมหาวิหารนักบุญเปโตรมหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพงและมหาวิหารพระนางมารีย์เป็นต้น 2) มหาวิหารแบบMinor Basilica ซึ่งจะได้สิทธิพิเศษเกี่ยวกับการจัดพิธีหลายอย่างในมหาวิหารมีจำนวนมากมายทั้งกรุงโรมและที่อื่นๆทั่วโลกเช่นมหาวิหารนักบุญอันตนแห่งปาดัวและสักการสถานสายประคำศักดิ์สิทธิ์ปอมเปอีเป็นต้น(เรียบเรียงจากอมตะนครโดยคพ.สุรชัยชุ่มศรีพันธุ์)