• หน้าแรก
  • เกี่ยวกับอาสนวิหาร
    • ประวัติอาสนวิหารอัสสัมชัญ
    • สถาปัตยกรรม
    • บรรณฐาน
    • ภาษาลาตินในวัด
    • กระจกสี / stained-glass
    • รูปนักบุญ / saint sculpture
  • บริการต่างๆ
    • ล้างบาปทารก / Baptisms
    • การถ่ายภาพ / Take pictures
    • แต่งงาน / wedding
  • ติดต่อสอบถาม/Contact us
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับอาสนวิหาร
    • ประวัติอาสนวิหารอัสสัมชัญ
    • สถาปัตยกรรม
    • บรรณฐาน
    • ภาษาลาตินในวัด
    • กระจกสี / stained-glass
    • รูปนักบุญ / saint sculpture
  • บริการต่างๆ
    • ล้างบาปทารก / Baptisms
    • การถ่ายภาพ / Take pictures
    • แต่งงาน / wedding
  • ติดต่อสอบถาม/Contact us

2016-08-21 ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ยี่สิบเอ็ด เทศกาลธรรมดา ปี C

ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ยี่สิบเอ็ด เทศกาลธรรมดา ปี C

ลก 13:22-30…จงพยายามเข้าทางประตูแคบ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนพยายามจะเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้…กลับถูกไล่ออกไปข้างนอก

ข้อคิด…มีชายคนหนึ่งเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “มีน้อยคนใช่ไหม ที่เอาตัวรอด?”…ชายคนนั้นน่าจะเป็นชาวยิวซึ่งคาดหวังจะได้รับคำตอบว่าเฉพาะชาวยิวเท่านั้นที่จะสามารถเข้าพระอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ ส่วนคนต่างศาสนาไม่มีสิทธิ์

          พระเยซูเจ้าได้ทรงหยิบยกเอาคำถามของชายคนนี้ ขึ้นมาใช้เป็นคำเตือนสำหรับคนร่วมสมัยกับพระองค์ว่า…”จงพยายามเข้าทางประตูแคบ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า หลายคนพยายามจะเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้”…พระองค์กำลังต้องการจะบอกกับพวกชาวยิวว่าพวกเขากำลังอยู่ในอันตรายที่จะไม่ได้เข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า เพราะพวกเขามิได้ใส่ใจที่จะกลับใจตามคำเรียกร้องของพระองค์

          เราคงเคยได้สังเกตเห็นว่าประตูกลางของปราสาทพระราชวัง หรือของคฤหาสน์ใหญ่โต หรือของโรงแรมสี่ดาวห้าดาว มักจะเป็นประตูที่กว้างใหญ่ บุคคลเข้าออกได้สะดวก ขอเพียงแต่ให้แต่งตัวหรูหรา ดูเหมือนเป็นคนมีตำแหน่งฐานะ โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนดีมีศีลธรรมหรือมีมนุษยธรรมแต่อย่างใด

          แต่ว่าในเวลาเดียวกัน ในอาคารใหญ่โตที่ว่านี้ ก็มักจะมีประตูเล็กๆแคบๆอยู่ด้วยเสมอ และเพื่อที่จะสามารถเข้าทางประตูเล็กๆแคบๆนี้ได้  จำเป็นต้องทำตัวให้เล็ก ให้ต่ำต้อย และต้องสลัดทิ้งสิ่งที่ทำให้ตัวรุ่มร่ามโดยไม่จำเป็นออกไปด้วย

          ตัวอย่างของภาพทั้งสอง คงจะช่วยให้เราได้เข้าใจสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการสอนพวกเราในวันนี้เมื่อพระองค์ทรงกล่าวว่า”จงพยายามเข้าทางประตูแคบ”…ทั้งยังจะช่วยให้เราได้เข้าใจสิ่งที่พระองค์บอกกับผู้ที่ติดตามพระองค์ในอีกโอกาสหนึ่งว่า    ”ถ้าหากพวกท่านมิได้กลายเป็นเหมือนเด็กเล็กๆเหล่านี้ ท่านจะไม่ได้เข้าสู่พระอาณาจักรเลย” เพราะว่าพวกเขาสามารถทำให้ตัวเองเล็กๆ และสามารถเดินผ่านที่ว่างเล็กๆแคบๆได้

          เราต้องไม่ทำผิดซ้ำซากเหมือนกับคนในสมัยของพระเยซูเจ้า ซึ่งคิดว่าตนมีสิทธิที่จะเข้าสู่พระอาณาจักรเมื่อใดก็ได้ เพราะตนรู้จักพระเจ้า รู้จักพระบัญญัติของพระองค์ แต่พระเยซูเจ้ากลับบอกว่าคนพวกนี้ว่าพวกเขานับถือพระเจ้าแต่ปาก แต่ว่าจิตใจอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า

          มีกี่คนที่ได้เข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า?…คงจะมีน้อยคนซินะ ตามที่พวกยิวในสมัยของพระเยซูเจ้าคิดและเข้าใจ…พระอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่คลับหรือสโมสรสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกเท่านั้น แต่ที่แน่ๆก็คือ คนที่ได้รับการเตรียมตัวให้เข้าไปทางประตูแคบ ก็จะได้เข้าสู่พระอาณาจักร

          เราจำเป็นต้องรำลึกอยู่เสมอๆว่าการเอาตัวรอดมิใช่เป็นอะไรบางอย่างที่เราสามารถหามาได้ด้วยอาศัยกำลังความสามารถของเราเอง…การเอาตัวรอดนั้น เป็นพระพรของพระเจ้า พระเยซูเจ้าได้ทรงเปิดประตูสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าให้กับทุกๆคน ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนบาปหรือเป็นนักบุญ ซึ่งโดยอาศัยความสุภาพและการเป็นทุกข์กลับใจ พวกเขาได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกที่ดีกว่าคนที่เรียกตนเองว่าเป็นคนดีมีคุณธรรมเสียอีก ขอให้เราได้คิดถึงโจรที่ดีคนนั้น ซึ่งได้รับการต้อนรับเข้าสู่พระอาณาจักร ณ วินาทีสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา เพราะเขาได้กลับใจและมีใจสุภาพที่จะยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า

          แน่นอน การเอาตัวรอดเป็นพระพรจากพระเจ้า แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าเราไม่ต้องออกแรงทำอะไรเลย เราต้องเปิดหัวใจของเราสู่พระเจ้าและสู่เพื่อนพี่น้องของเรา และต้องไม่อิจฉาเพื่อนพี่น้องที่พระเจ้าได้ทรงแสดงความรักและความเมตตาต่อพวกเขา นอกนั้น เราสามารถเอาตัวรอดได้ ก็เพราะเราได้รับการเตรียมตัวให้เข้าไปทางประตูแคบ ด้วยการปลดเปลื้องความสนุกสุขสนานแบบชาวโลกออกไปจากชีวิตของเรา…ยอมรับการเฆี่ยนตีของพระเจ้าด้วยยอมทนทุกข์ยาลำบาก ยอมรับความเจ็บปวด ตามที่จดหมายถึงชาวฮีบรูในบทอ่านที่สองได้เตือนใจเรา และการที่พระเจ้าทำเช่นนั้น ก็เพราะเราเป็นบุตรของพระองค์ แน่นอนพระเจ้าทรงรักผู้ที่พระองค์ทรงรับไว้เป็นบุตร เพราะการเฆี่ยนตีนั้น ให้ผลเป็นสันติสุขและให้ผลเป็นความชอบธรรมแก่ผู้ที่ยอมรับการเฆี่ยนตีสั่งสอนว่าเป็นการฝึกฝนตนเอง เป็นการพัฒนาให้ตัวเองดีขึ้น การเฆี่ยนตีสั่งสอนของพระเจ้า เป็นการชำระล้างจิตวิญญาณของตนให้สะอาดบริสุทธิ์และช่วยเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีของตนได้ การเฆี่ยนตีของพระเจ้านี้ เป็นอะไรบางอย่างที่จำเป็นสำหรับชีวิตของมนุษย์ เพราะจะทำให้เขามีความเป็นมนุษย์มากขึ้น เป็นคนที่มีวุฒิภาวะมากขึ้น เป็นคนที่เข้าใจคนอื่นมากขึ้น และรู้จักเมตตาสงสารผู้อื่นมากขึ้น

การเฆี่ยนตีของพระเจ้าเป็นเหมือนอาหารที่จำเป็นสำหรับสร้างคริสตชนให้มีวุฒิภาวะ เราต้องไม่มองการเฆี่ยนตีของพระเจ้าว่าเป็นการลงโทษของพระองค์…พระเจ้าไม่เคยลงโทษใคร การที่พระเจ้ายอมให้เรามนุษย์ต้องทนทุกข์ยากลำบาก ก็เพราะสิ่งที่ดีๆในตัวเราจะได้เกิดจากการทนทุกข์ยากลำบากนั้น ความเจ็บปวดที่เราสู้ทน จะทำให้เราได้เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น และเพราะในความทุกข์ยากลำบากหรือในความเจ็บปวดนั้น เราจะมีประสบการณ์แห่งฤทธิ์อำนาจและความรักของพระองค์ และจะรู้จักเมตตาสงสารผู้อื่นที่ต้องทนทุกข์ยากลำบาก

การรู้จักเมตตาสงสารคนอื่น เราไม่สามารถเรียนรู้ได้โดยที่เราไม่เคยทนทุกข์ยากลำบาก ดังนั้น ความทุกข์ยากลำบากเป็นเสมือนหนทางแคบที่พระเยซูเจ้าทรงแนะนำให้บรรดาศิษย์ของพระองค์เดินผ่าน เพื่อเข้าไปสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า

เกี่ยวกับวัดฯ

  • ประวัติอาสนวิหาร
  • แม่พระอัสสัมชัญ
  • บรรณฐาน
  • สถาปัตยกรรม
  • กระจกสี
  • ภาษาลาตินในวัด

บริการต่างๆ

  • ล้างบาปทารก / Baptisms
  • แต่งงาน / Wedding
  • การขออนุญาตถ่ายภาพ

สารวัดย้อนหลัง

  • บทสนทนาจากเจ้าอาวาส
  • คิดสักนิด...สะกิดใจ...
  • ปลัดแก่ ซอย40
  • ปี 2012

บุคลากร/องค์กรต่างๆในวัด

  • พระสงฆ์
  • สำนักงานวัด
  • สภาภิบาล
  • นักขับร้อง
  • สโมสรเยาวชน

ลิงค์คาทอลิก

  • สภาสังฆราชคาทอลิกประเทศไทย
  • อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
  • หอจดหมายเหตุ อัครสังฆมณฑลฯ
  • สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย
Facebook-f Youtube