สวัสดีครับพี่น้องที่รักพบกันอีกครั้งในสัปดาห์นี้อาทิตย์ที่2 ของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพระวรสารและบทจดหมายของนักบุญเปาโลเรียกร้องให้เรามีความหวังโดยรู้จักตื่นเฝ้าระวังละทิ้งกิจการมืดมนและดำเนินชีวิตให้เหมาะสมเพื่อเตรียมตัวต้อนรับองค์พระกุมารเจ้าผู้ทรงบังเกิดประทับอยู่ท่ามกลางเราในสัปดาห์นี้พระวาจาของพระเจ้าจะพูดถึงนักบุญยอห์นบัปติสต์ผู้นำหน้าพระผู้ไถ่ท่านได้สอนเราให้รู้จักกลับใจเตรียมทางและทำทางของพระเจ้าให้ตรงและพร้อมที่จะทำลายกำแพงแห่งการแบ่งแยกที่ขวางกั้นเรากับพระเป็นเจ้าและกับเพื่อนมนุษย์ซึ่งทำให้เราไม่รู้จักรักให้โอกาสเห็นแก่ตัวและยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
หลายวันก่อนพ่อได้มีโอกาสอ่านบทความหนึ่งที่ดีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้นั่นคือการรู้จักรักการให้โอกาสและการเห็นคุณค่าของผู้อื่นของบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าNihon Rikagaku Kogyoเป็นบริษัททำชอล์กไร้ฝุ่นเล็กๆแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียวซึ่งรู้จักกันดีในวงการธุรกิจทำชอล์กในฐานะบริษัทอันดับ1 ของประเทศโดยเรื่องราวน่ารักที่พ่อกำลังจะพูดถึงนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของการทำธุรกิจว่ามีวิธีการใดทำให้ธุรกิจมีส่วนแบ่งตลาดให้เป็นอันดับ1 แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวพนักงานของบริษัทแห่งนี้ที่ร้อยละ70 ของพนักงานทั้งหมดเป็นผู้พิการและทุพพลภาพ ซี่งคำถามที่สำคัญคือทำไมบริษัทถึงต้องจ้างพนักงานผู้พิเศษเหล่านี้ด้วย?
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนคุณOyama Kazuhiro ผู้บริหารบริษัทฯมีเรื่องให้คิดมากเมื่อคุณครูโรงเรียนสอนผู้ทุพพลภาพในละแวกนั้นขอให้Oyama รับนักเรียนของเธอมาทำงานที่บริษัทหลังเรียนจบเพราะคุณครูอยากให้ลูกศิษย์ของเธอใช้ชีวิตเหมือนคนปกติสามารถช่วยเหลือตัวเองและทำงานได้โดยไม่ต้องมีคนคอยดูแล
ตอนแรกOyama ได้ปฏิเสธเพราะกลัวเด็กๆจะทำงานตามปกติไม่ได้แต่คุณครูก็ไม่ยอมแพ้และมาติดต่อบริษัทถึง3 ครั้งเพราะเธอเชื่อว่าการทำชอล์กน่าจะไม่มีขั้นตอนการทำงานที่ไม่ยุ่งยากมากนักสำหรับความสามารถของลูกศิษย์เธอในที่สุดด้วยการถูกรบเร้าบ่อยๆเข้าOyama ก็ตัดสินใจรับเด็กมาฝึกงานก่อนแค่2 สัปดาห์ทางโรงเรียนจึงส่งนักเรียนมาฝึกงาน2 คนเป็นเด็กผู้หญิงอายุ15 และ17 ปีซึ่งOyama ก็พบว่าเด็กหญิงทั้งคู่กลับมีสมาธิจดจ่อและตั้งอกตั้งใจทำงานมากเป็นพิเศษ…มากจนหลายครั้งพวกเธอไม่ได้ยินเสียงกริ่งพักทานข้าวเที่ยงด้วยซ้ำไป
เมื่อเด็กสองคนฝึกงานครบพนักงานในบริษัทต่างมาขอให้Oyama รับเด็กสองคนนี้มาเป็นพนักงานประจำโดยสัญญาว่าพวกเขาจะช่วยดูแลเด็กๆเหล่านี้เองตอนนั้นOyama ก็รับเด็กๆมาทำงานเพียงเพราะความสงสารแต่หลังจากนั้นไม่นานOyama ได้มีโอกาสไปทานเลี้ยงและเผอิญได้นั่งที่นั่งติดกับพระภิกษุรูปหนึ่งOyama ได้เล่าให้พระรูปนั้นฟังว่า“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กๆเหล่านี้เรียนจบแล้วก็น่าจะไปเข้าสถานรับดูแลพวกเขาจะได้เล่นเกมได้เจอเพื่อนๆคนอื่นซึ่งมันน่าจะมีความสุขกว่าการนั่งรถไฟแน่นๆมาทำงานแบบนี้ทุกวัน”
พระภิกษุรูปนั้นจึงบอกว่า…“มนุษย์เราจะรู้สึกมีความสุขมากๆเมื่อพบเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
1. ได้รับความรักจากผู้อื่น 2. ได้รับคำชมจากผู้อื่น
3. รู้สึกว่าตนเองมีประโยชน์แก่ผู้อื่น 4. รู้สึกว่าตนเองเป็นที่ต้องการของผู้อื่น
และทุกสิ่งที่อาตมากล่าวมานี้เป็นสิ่งที่เด็กๆได้จากการทำงานที่บริษัทของคุณ”
Oyama ถึงเข้าใจว่าความสุขของเด็กๆเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องของการอยู่ดีกินดีแต่คือการได้รับความรักและรู้สึกว่าตนเองมีค่า
หลังจากนั้นOyama ก็รับผู้ทุพพลภาพทางสติปัญญาเข้ามาทำงานที่บริษัททุกๆปีโดยปรับกระบวนการผลิตให้เรียบง่ายขึ้นเพื่อให้เด็กๆเหล่านี้สามารถเข้าใจและปฏิบัติงานตามคำสั่งได้และเมื่อเด็กๆเหล่านี้ทำได้เขาก็ชื่นชมโดยOyama จะกล่าวขอบคุณพนักงานทุกคนในทุกๆเย็นหลังเลิกงานและตั้งแต่มีพนักงานพิเศษเข้ามาพนักงานในบริษัทนี้ต่างรักใคร่ช่วยเหลือกันมากกว่าเดิมส่งผลให้ผลผลิตของบริษัทดีขึ้นเรื่อยๆรวมทั้งทางมหาวิทยาลัยชั้นนำของญี่ปุ่นต่างก็เข้ามาเสนอร่วมวิจัยเทคโนโลยีใหม่ให้กับบริษัทเพราะอยากช่วยเหลือเด็กที่ทุพพลภาพเหล่านี้ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ปัจจุบันบริษัทNihon Rikagaku Kogyo มีพนักงานทั้งหมด73 คนโดยมีพนักงานที่มีภาวะทางสมองมีมากถึง53 คนส่วนเด็กหญิงสองคนที่เข้ามาทำงานแต่แรกก็ทำงานในบริษัทนี้จนพวกเธออายุ68 ปีและ65 ปี(ที่มา: กฤตินีพงษ์ธนเลิศคอลัมน์Japan Gossip ในเว็บ Marumura.com)
ดังนั้นพี่น้องครับในสัปดาห์นี้ขอให้เราแต่ละคนผู้ที่กำลังรอคอยพระกุมารเจ้านี้รู้จักเตรียมทางและทำทางของพระเจ้าให้ตรงเถิดกลับใจและพร้อมทำลายแห่งการแบ่งแยกนี้ที่ทำให้เราคิดถึงเรื่องตนเอง