สวัสดีครับพี่น้องที่รัก พบกันเช่นเคยกับวันอาทิตย์ วันของพระเจ้าในสัปดาห์ที่ 29 ของเทศกาลธรรมดา ปี A และวันอาทิตย์แห่งการฉลอง “วันแพร่ธรรมสากล” ที่พระศาสนจักรทั่วโลกให้บรรดาคริสตชน หรือศิษย์ของพระเยซูเจ้าได้คิดถึงงานแพร่ธรรม ซึ่งถือเป็นพันธกิจหลัก และหัวใจของความเชื่อเราคริสตชน ดังคำสั่งของพระเยซูเจ้าที่ได้ทรงมอบให้แก่บรรดาศิษย์ก่อนพระองค์เสด็จสู่สวรรค์ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา” (มธ.28:19) ด้วยเหตุนี้งานแพร่ธรรมจึงถือเป็นงานที่สำคัญยิ่งของพระคริสตชนทุกคน สำหรับทางอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เราก็มีกิจกรรมวันแพร่ธรรมสากลนี้เช่นกัน ณ อาสนวิหารอัสสัมชัญ ตั้งแต่เวลา 08.30-12.00 โดยเริ่มจากพิธีบูชาขอบพระคุณ และมอบวุฒิบัตรแก่อาสาสมัครฆราวาสประกาศข่าวดีประจำวัด (PMG BKK) โดยพระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช หลังมิสซามีกิจกรรมบรรยายพิเศษ เรื่อง “จากความขัดแย้งสู่ความเป็นหนึ่งเดียว” โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากคริสตจักรและพระศาสนจักรคาทอลิก ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารแปรูดอง โรงเรียนอัสสัมชัญศึกษา ซึ่งพี่น้องสามารถร่วมขอบคุณพระเป็นเจ้าในบูชามิสซา และร่วมฟังบรรยายพิเศษในโอกาสนี้ได้เช่นกัน พ่อจึงขอเชิญชวนพี่น้องทุกท่านที่มีความสนใจมาร่วมงานดังกล่าวตามเวลาที่ได้แจ้งให้ข้างต้น
สำหรับพระวรสาร ในวันอาทิตย์ที่ 29 นี้ พ่อชอบคำพูดของพระเยซูเจ้าที่กล่าวว่า “ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด” (มธ 22:21) ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงต้องการชี้ให้เราเห็นถึงความจริงที่ว่า “สิ่งใดก็ตามเป็นของโลกก็ควรคืนให้แก่โลก และสิ่งใดที่เป็นของพระเจ้าก็ควรคืนให้กับพระเจ้า” เพราะเหรียญเงินที่มีรูปของซีซาร์ เป็นเครื่องหมายของอำนาจ ความรุ่งเรือง และร่ำรวยทางโลกนี้ แต่สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว อำนาจและความร่ำรวยของพระเยซูเจ้า ย่อมไม่ใช่เงินในโลกนี้ แต่เป็นหนทางแห่งไม้กางเขนที่พระเยซูเจ้าสอนให้เราเลิกนึกถึงตนเอง เสียสละ รัก และรับใช้คนอื่นเหมือนรักตนเอง เหมือนดังชีวิตบรรดานักบุญ และผู้ศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนจักรของเรา ซึ่งพ่อเองก็ชอบเรื่องราวของคุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตา เป็นพิเศษที่เป็นแบบอย่างของเรื่องนี้ได้อย่างดี
ครั้งหนึ่งมีเศรษฐีคนหนึ่งสนใจงานของคุณแม่ จึงติดตามคุณแม่ไป วันนั้นคุณแม่เทเรซา ได้ไปดูแลคนโรคเรื้อนที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ท่านได้ไปอาบน้ำและเช็ดตัวให้แก่คนโรคเรื้อนคนหนึ่งด้วยความเอาใจใส่ เศรษฐีคนนั้นเมื่อเห็นแบบนี้ ก็รู้สึกว่างานนี้น่ารังเกียจเหลือเกิน จึงพูดกับคุณแม่ว่า “คุณแม่เทเรซาครับ ต่อให้มีคนมาจ้างผมถึง 1,000 รูปี ผมก็จะไม่ยอมทำงานนี้เด็ดขาด” คุณแม่เทเรซาจึงตอบเศรษฐีคนนี้ว่า “เช่นกันต่อให้คุณให้เงินฉัน 10,000 รูปี ฉันก็ไม่ทำงานนี้เหมือนกัน หากฉันไม่เห็นองค์พระเยซูเจ้าในคนโรคเรื้อนคนนี้” เป็นคำตอบที่น่าทึ่งเหลือเกินที่คุณแม่ตอบได้อย่างมีปรีชาญาณเช่นนี้ และเป็นการสะท้อนให้เราเห็นว่า คุณแม่ได้ทำตามคำสอนของพระเยซูเจ้าที่ว่าอำนาจแท้จริงของเราคริสตชน คือ การรัก และรับใช้ผู้อื่น
นอกจากนี้ พระวรสารในตอนนี้ยังเตือนสอนเราถึงหน้าที่ของการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ ซึ่งเราเองต้องรู้จักเคารพผู้ปกครองบ้านเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย และยอมรับหน้าที่ตามอำนาจของพวกเขาด้วย รวมทั้งการยอมคืนทุกสิ่งที่เป็นของโลกให้แก่โลก ตามหน้าที่การเป็นพลเมือง เช่น การไปเสียภาษี การไปทำหน้าที่ของเราในการใช้สิทธิเลือกตั้ง การทำงานตามหน้าที่ของเราด้วยความซื่อสัตย์ และการเข้าแถวตามบรรทัดฐานของสังคม แต่สำหรับการเป็นพลเมืองของพระเจ้า ซึ่งต้องคืนให้แก่พระเป็นเจ้า น่าคิดเหลือเกินที่เรากลับไม่ค่อยรู้หน้าที่ และไปยอมเสียเวลาสักเท่าไหร่? ด้วยการบอกว่า “ไม่มีเวลาที่จะสวดภาวนา ไม่มีเวลาที่จะไปวัด และไม่มีโอกาสที่จะช่วยเหลือ และให้อภัยกันและกัน” เราพยายามเสียเวลาให้กับพระเจ้าน้อยที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แต่กลับใช้เวลามากมายกับการไปเรียน การทำงาน และการเที่ยวกับเพื่อน ๆ ฯลฯ
ดังนั้น ในอาทิตย์นี้พ่อจึงอยากให้เรามองดูชีวิตของเราจริง ๆ ว่า ทุกวันนี้เราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างไร เพื่อเราจะได้เข้าใจความหมายของประโยคที่ว่า “ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด” (มธ 22:21)
…คุณพ่อปลัด…
|