สวัสดีครับพี่น้องที่รักบทอ่านทั้งสามอาทิตย์ที่สามของเทศกาลมหาพรตในวันนี้พูดถึง“น้ำทรงชีวิต”บทอ่านที่1 จากหนังสืออพยพได้พูดถึงโมเสสตอนที่ท่านทนการรบเร้าของชาวยิวไม่ไหวเรื่องน้ำพระเจ้าจึงทรงให้โมเสสเอาไม้เท้าเคาะหินเพื่อให้มีน้ำสำหรับเลี้ยงพวกเขาในบทจดหมายของนักบุญเปาโลท่านได้เปรียบพระเยซูเจ้าว่าทรงเป็นน้ำที่พระเจ้าทรงหลั่งลงในดวงใจของเราเพื่อทำให้เราพบกับความรักการไถ่บาปและความรอดพ้นที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เราส่วนในพระวรสารก็ได้เล่าถึงตอนที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่แคว้นสะมาเรียใกล้ๆกับบ่อน้ำของยาคอบที่นั่นพระองค์ทรงพบกับหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งซึ่งพระองค์ทรงขอน้ำจากเธอก่อนก่อนที่พระองค์จะประทาน“น้ำทรงชีวิต”ให้แก่เธอและที่นี่เองพระองค์ประกาศต่อเธอว่า“เราคือพระเมสิยาห์”ที่พวกท่านนั้นรอคอย
พี่น้องครับเทศกาลมหาพรตเป็นเวลาที่เราทุกคนต้องหา“น้ำทรงชีวิต”เช่นเดียวกันเพราะว่า
– แม้พระเยซูเจ้าทรงเป็นชาวยิวที่เป็นศัตรูกับหญิงคนนี้และแคว้นสะมาเรียแต่พระองค์ไม่ทรงคิดแบบชาวยิวทั่วๆไปพระองค์จึงทรงเสด็จมาหาหญิงคนนี้พูดคุยและขอน้ำเพื่อสอนเราว่าหากเราต้องการพบน้ำทรงชีวิตเราต้องรู้จักทำลายกำแพงภายในจิตใจของเราลดอคติทำลายความเกลียดชังด้วยการให้ภาวนาและรู้จักให้อภัยแก่ผู้ที่เป็นศัตรูกับเรา
– แม้หญิงคนนี้จะเป็นคนบาปเพราะเธอมีสามีถึงห้าคนและกำลังอยู่กินกับสามีคนที่หกเป็นคนบาปในสายตาของคนทั่วไปหรือแม้แต่ชาวสะมาเรียด้วยกันเองแต่พระเยซูเจ้าทรงสอนเราว่าหากเราต้องการพบน้ำทรงชีวิตเราต้องรู้จักเข้าใจยอมรับรู้จักให้โอกาสรู้จักพูดให้กำลังใจรู้จักถนอมน้ำใจคนอื่นและไม่ควรไปตัดสินคนอื่นเลยเพราะเราเองก็เป็นคนบาปเหมือนกัน
– แม้หญิงคนนี้จะให้น้ำเพียงแก้วเดียวซึ่งเล็กน้อยมากแก่พระเยซูเจ้าแต่เมื่อเธอมอบให้ด้วยใจยินดีแล้วเธอกลับจะได้รับน้ำทรงชีวิตที่ไม่มีวันเหือดแห้งและทำให้เธอนั้นได้รับความรอดพ้นนิรันดรเราเองเช่นเดียวกันหากเราต้องการจะพบน้ำทรงชีวิตเราก็ควรรู้มอบน้ำใจของเรารู้จักให้เสียสละและมอบกิจการแห่งความรักแก่เพื่อนพี่น้องของเรา
ทะเลทรายซาฮาร่าหรือทะเลทรายมรณะเป็นดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นสถานหนี่งที่ร้อนและแห้งแล้งที่สุดในโลกของเราจนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้และยังเป็นดินแดนน่ากลัวต้องคำสาปสำหรับนักเดินทางทุกคนที่เมื่อเดินเข้าไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาได้อีกเลยจนกระทั่งในปีค.ศ. 1814 คณะโบราณคดีคณะหนึ่งได้ทำลายคำสาปนี้ลงด้วยน้ำใจและกิจการที่ดีงามเพียงเล็กน้อยเท่านั้นกล่าวคือ…
ในเวลานั้นทะเลทรายซาฮาร่าเต็มไปด้วยเศษซากกระดูกของนักโบราณคดีและนักสำรวจมากมายทางหัวหน้าคณะเมื่อเห็นเช่นนี้ก็คิดว่า“ไม่ดีแน่ถ้าจะปล่อยศพเหล่านี้ถูกทิ้งอย่างไม่มีคนเหลียวแล”จึงสั่งลูกทีมทุกคนว่า“เมื่อเราเดินทางไปแล้วพบกองกระดูกไม่ว่าที่แห่งใดขอให้ทุกคนหยุดเพื่อขุดหลุมฝังกองกระดูกและทำป้ายปักหลุมศพเหล่านั้นเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อศพของผู้ล่วงลับเหล่านั้นเถิด”
แต่ทว่าในทะเลทรายมีกองกระดูกมากมายเหลือเกินงานของการฝังกระดูกจึงก็ใช้เวลาไปมากคนในคณะบางคนจึงเริ่มบ่น“พวกเรามาเพื่อสืบค้นโบราณวัตถุไม่ใช่มาช่วยเก็บซากคนตายนะ“
แต่หัวหน้าคณะก็ยังคงดื้อดึงแล้วตอบว่า“กองกระดูกทุกๆกองล้วนแต่เคยเป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพจะทนเห็นพวกเขานอนกองในที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวได้หรือ?”
หลังจากนั้นประมาณ1 สัปดาห์เหล่านักโบราณคดีก็ได้ค้นพบโบราณวัตถุที่เป็นซากและรอยเท้ามนุษย์โบราณซึ่งเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่แต่เมื่อถึงเวลาที่ทุกคนต้องเดินทางกลับออกมาปรากฎว่าเกิดพายุหลายวันหลายคืนจนพวกเขาไม่สามารถเห็นดวงอาทิตย์ได้และเข็มทิศก็ใช้การไม่ได้นักโบราณคดีเหล่านั้นจึงหลงทางอาหารและน้ำดื่มก็เริ่มขาดแคลนพวกเขาจึงเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนร่วมอาชีพเหล่านั้นถึงไม่สามารถกลับออกมาจากทะเลทรายนี้ได้
แต่ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหลังนี้หัวหน้าคณะได้พูดขึ้นว่า“ทุกคนไม่ต้องสิ้นหวังหรอกครับเพราะตอนขามาพวกเราได้ทำเครื่องหมายทิ้งไว้ตามทางมากมาย“พวกเขาจึงได้เดินไปตามแนวป้ายหลุมศพที่พวกเขาทำไว้และสามารถเดินออกจากทะเลมรณะแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย
ดังนั้นพี่น้องครับพระเยซูเจ้าทรงมอบน้ำทรงชีวิตให้แก่เราพระองค์มาหาเราและสอนเราให้รู้จักแสวงหาน้ำทรงชีวิตนี้โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งมหาพรตขอให้เราซึ่งกำลังเดินทางฝ่ายจิต40 วันนี้รู้จัก“มอบน้ำ”ฝ่ายในจิตใจของเรานั่นคือ“น้ำใจ” ให้กับคนอื่นก่อนเหมือนกับทีมงานนักโบราณคดีที่เป็นตัวอย่างให้แก่เราพวกเขาไม่หลงทางเพราะจิตใจที่ดีงามของพวกเขาเป็นเสมือนเข็มทิศฝ่ายจิตวิญญาณรวมทั้งรู้จักปรับเปลี่ยนความคิดคำพูดท่าทีและแสดงออกของเราเพื่อจะทำให้เราพบกับ“น้ำทรงชีวิต”ที่จะมอบความสันติความรักความชื่นชมในการอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข
…คุณพ่อปลัด…