สวัสดีครับ พี่น้องที่รักพบกันอีกครั้งในคอลัมน์ “คิดสักนิด…..สะกิดใจ” ของอาทิตย์ที่ 32ในเทศกาลธรรมดา ซึ่งเรากำลังเดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของปีพิธีกรรม โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่พระศาสนจักรเตือนใจเราคริ-สตชนเป็นพิเศษให้ระลึกถึงผู้ล่วงลับ วาระสุดท้ายแห่งชีวิตและโลกของเรา เพื่อให้เราจะได้สามารถเตรียมชีวิตของเราให้พร้อมอยู่เสมอ เพื่อเผชิญกับวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยการรู้ตัว แบบหญิงฉลาดในพระวรสารในวันนี้
มีคำกล่าวไว้ว่า “ชีวิตของมนุษย์นั้นสั้นนัก และเราแต่ละคนก็ไม่รู้วันและเวลาของเราในโลกนี้จะหมดไปเมื่อไร” แต่สิ่งที่เรารู้แน่นอนก็คือ เราแต่ละคนล้วนผ่านมาบนโลกนี้ เพื่อที่จะผ่านไปในสักวันหนึ่งในที่พำนักถาวรของเราก็คือ “เมืองสวรรค์” เราคริสตชนจึงมีธรรมเนียมการเสกสุสาน การสวดภาวนา และการระลึกถึงผู้ล่วงลับ ก็เพื่อเตือนใจเราให้มองเห็นถึงความจริงของชีวิตว่า ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าได้ ทั้งยังเป็นการแสดงออกให้เราเห็นถึงความรัก และความผูกพันซึ่งยังคงอยู่ ระหว่างผู้เป็นและผู้ตาย ความตายในโลกนี้จึงไม่ใช่ที่สิ้นสุด แต่เป็นการจากกันเพียงชั่วคราว และเราจะพบกันอีกครั้งอย่างแน่นอนในเมืองสวรรค์
พี่น้องครับ ความจริงแล้วเวลาที่เราไปร่วมงานศพ หรือไปเสกสุสานในแต่ละปีของเดือนพฤจิกายนนี้ เพื่อคิดถึงบรรดาผู้ที่ล่วงหน้าไปก่อนเรา อาจทำให้เกิดคำถามสะกิดใจเราแต่ละคนด้วยว่า เราได้ดำเนินชีวิตของเราอย่างไร ในเมื่อวันหนึ่งเราจะต้องจากโลกนี้ไป?” เราอาจจะเป็นเหมือนหญิงโง่ที่นำตะเกียงไปรอคอยเจ้าบ่าวแต่ไม่ได้นำน้ำมันสำรองไปด้วย หรือจะเป็นดังหญิงฉลาดที่ไม่ลืมที่จะนำน้ำมันสำรองติดตัวไปด้วย เมื่อเจ้าบ่าวมาช้า หญิงสาวทั้งสิบคนก็หลับไป การหลับไปจึงหมายถึง ความอ่อนแอในชีวิตของเรา.. ซึ่งไม่มีใครตำหนิเราหรอก หากเราจะเป็นคนอ่อนแอ ทำไมเราจึงเผลอหลับไป แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า ในขณะที่เราสำนึกว่าเราอ่อนแอนั้น เราเพียรพยายามหรือไม่ที่จะเติมน้ำมันในตะเกียงแห่งชีวิตของเราให้เต็มอยู่เสมอ? น้ำมันแห่งชีวิต ก็คือ กิจการแห่งความรักและความดีที่เรากระทำต่อผู้อื่นนั่นเอง เราจึงอาจตั้งข้อสังเกต และสงสัยว่าทำไมหญิงฉลาดถึงไม่มีน้ำใจเสียเลย ไม่ยอมแบ่งปันน้ำมันให้กับหญิง ซึ่งแท้จริงแล้ว ความเข้าใจในพระวรสารตอนนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องของความมีน้ำใจหรือไม่ หากแต่น้ำมัน คือ กิจการแห่งความรักหรือบุญกุศลในชีวิตของเราที่ไม่สามารถถูกแบ่งให้กับคนอื่นได้ เราจึงต้องสร้าง และสะสมด้วยตนเอง เราไม่สามารถไปขอยืมจากใครได้ เพราะ “ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง” และบ่อยครั้งเหลือเกินที่เราคริสตชนมักหลงภูมิใจในความเชื่อแห่งศีลล้างบาปที่เราได้รับ และหวังว่าจะเป็นหลักประกันสำหรับการเอาตัวรอดนิรันดร เหมือนหญิงโง่ที่มีตะเกียงแต่ไม่มีน้ำมัน ซึ่งก็ไร้ประโยชน์ เพราะความเชื่อเท่านั้นไม่พอสำหรับการเอาตัวรอด แต่ต้องมีกิจการดีด้วย และลงมือปฏิบัติตั้งแต่เวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
ดังนั้นขอให้อาทิตย์ที่ 32ของเทศกาลธรรมดานี้ พี่น้องจะได้คิดถึงชีวิตของเราสักนิดว่า “เราพร้อมไหมสำหรับการเดินทางเพื่อมุ่งสู่ชีวิตนิรันดร เพราะการเรียกและการเสด็จมาของพระเจ้านั้นไม่มีการแจ้งล่วงหน้า” และเราอยากเป็นหญิงโง่หรือหญิงฉลาดกัน ดังคำพูดที่พระเยซูเจ้าเตือนใจเราว่า “จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้กำหนดวันและเวลา” (มธ 25:13)
…คุณพ่อปลัด…