แทนคิดสักนิด…สะกิดใจ
มหาพรตกับจิตตารมณ์“การถือศีลอดอาหาร”
1. ประเพณีการทำกิจใช้โทษบาป
เทศกาลเตรียมฉลองปัสกาได้แก่40 วันนับจากวันพุธรับเถ้าจนถึงวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ระลึกถึงการกลับมีชีวิตใหม่ขององค์พระเยซูคริสตเจ้าในวันเหล่านี้บรรดาคริสตชนจะใช้เวลาเพื่อไตร่ตรองพระธรรมคำสอนที่มุ่งตักเตือนให้ลดละเลิกความอธรรมทุกชนิดที่ทำให้เสื่อมเสียศักดิ์ศรีการเป็นบุตรพระเจ้าและหันกลับมาดำเนินชีวิตตามคุณค่าพระวรสารซึ่งให้ความสำคัญต่อการภาวนาพลีกรรมและให้ทานที่เป็นกิจกรรมภายนอกของการกลับใจ
วันศุกร์ตลอดปีก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เป็นประเพณีปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยคริสตชนกลุ่มแรกเพราะเป็นวันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อสอนเราให้เข้าใจความจริงของการเป็นพระเจ้าก็คือการเสียสละชีวิตเพื่อรักและรับใช้คนจำนวนมากทุกวันศุกร์บรรดาคริสตชนจะจดจำเหตุการณ์ที่พระคริสต์ได้ถวายพระองค์จนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเราเองแต่ละคนก็ต้องมีส่วนร่วมในเส้นทางสายเดียวกัน
2. รูปแบบต่างๆของการใช้โทษบาปในชีวิตคริสตชน
ความสำนึกผิดภายในของคริสตชนสามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบพระคัมภีร์และปิตาจารย์ได้ให้ความสำคัญเฉพาะ3 รูปแบบคือการถือศีลอดอาหารการภาวนาและการทำบุญให้ทาน(ทบต12:8 ;มธ6:1-18)
เพื่อแสดงว่าการกลับใจมีส่วนสัมพันธ์ต่อตนเองความสัมพันธ์กับพระเจ้าและความสัมพันธ์กับผู้อื่นดังนั้นผู้กลับใจควรต้อง1. คืนดีกับเพื่อนพี่น้อง2. มีความเป็นทุกข์เสียใจ3. มีความห่วงกังวลถึงความรอดของเพื่อนพี่น้อง4. วอนขอความช่วยเหลือจากบรรดานักบุญ5. ปฏิบัติกิจเมตตาซึ่งสามารถลบล้างบาปได้(1ปต4:8) สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องหมายของการสำนึกผิดภายในการกลับใจในมิติของการคืนดีกับพี่น้องสามารถทำให้เป็นจริงได้ในชีวิตประจำวันโดยให้ความช่วยเหลือคนยากจนป้องกันและปฏิบัติความยุติธรรมยอมรับข้อบกพร่องของพี่น้องตักเตือนพี่น้องให้ดำเนินชีวิตถูกต้องให้คำแนะนำทางจิตใจการยอมรับความทุกข์และการเบียดเบียนอันเนื่องจากได้กระทำสิ่งที่ถูกต้องโดยถือว่าเป็นการแบกไม้กางเขนของตนทุกวันเพื่อติดตามพระเยซูคริสตเจ้า
3. วิธีการช่วยให้ซื่อสัตย์ต่อการทำกิจใช้โทษบาป
ศาสนาคริสต์ใช้ศีลอภัยบาปเพื่อกระตุ้นเตือนคริสตชนให้หมั่นพิจารณามโนธรรมของตนเองถึงวิถีชีวิตที่มีผิดบกพร่องและให้สำนึกผิดกลับใจใหม่เสมอๆเพื่อทำให้ความสัมพันธ์กับพระเจ้าและกับเพื่อนมนุษย์ได้รับการฟื้นฟูอยู่ตลอดเวลานอกนั้นยังมีศีลมหาสนิทที่เชื่อมเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าโดยอาศัยศีลนี้เราก็ประกาศการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าคือการยอมเสียสละเลือดเนื้อของตนเองเพื่อผู้อื่น“กายของเรามอบแด่ท่าน, โลหิตของเราหลั่งเพื่อท่าน” ฉะนั้นผู้ออกไปรับศีลนี้ก็เท่ากับประกาศว่าเราเองจะเดินในวิถีทางของพระเจ้าด้วยการเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่นจะได้รอดปลอดภัย
วิธีการอื่นๆก็ช่วยได้มากเช่นการอ่านพระคัมภีร์หนังสือศรัทธาการสวดทำวัตรบทข้าแต่พระบิดาและกิจศรัทธาอื่นๆสิ่งเหล่านี้เป็นอุปกรณ์ช่วยย้ำเตือนให้เราสวมใส่ชีวิตที่หมั่นเพียรในธรรมเดินในที่สว่างจะได้รอดพ้นจากบ่วงมารที่เป็นทั้งพยศชั่วที่อยู่ภายในตัวตนเองหรือค่านิยมผิดๆที่สังคมมอบให้เพราะอวิชชาที่ครอบงำจิตใจคนความโลภความโกรธความหลงซึ่งยากแท้จะแก้ไข
..โดยคุณพ่อเอกรัตน์ หอมประทุม..