สวัสดีครับพี่น้องที่รักพบกันอีกครั้งในอาทิตย์ที่5 อาทิตย์สุดท้ายของเทศกาลมหาพรตก่อนเข้าสู่สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์แห่งพระมหาทรมานซึ่งจะเริ่มต้นด้วยวันอาทิตย์แห่ใบลาน(25 มี.ค. 2018) อาทิตย์ที่พระเยซูเจ้าทรงเสด็จเข้ากรุงเยรูซาแล็มอย่างสง่าเพื่อไปรับความตายและทำให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอดพ้นด้วยการหลั่งพระโลหิตเพื่อไถ่บาปมนุษย์ทุกคน
สำหรับในอาทิตย์นี้ในพระวรสารบอกให้เราทราบว่ามีผู้คนจำนวนมากที่ขึ้นไปนมัสการพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็มในงานฉลองนั้นมีชาวกรีกบางคนรู้สึกประทับใจในพระเยซูเจ้าพวกเขาจึงไปหาฟิลิปและบอกกับท่านว่า“ท่านครับพวกเราอยากเห็นพระเยซูเจ้า”พระเยซูเจ้าจึงได้ใช้โอกาสนี้อธิบายว่า“พระองค์เป็นใคร?”โดยพระองค์ทรงประกาศว่าพระองค์คือพระผู้ไถ่หรือบุตรแห่งมนุษย์ที่จะต้องถูกยกขึ้นบนไม้กางเขนเพื่อทำให้พระบิดาได้รับพระสิริรุ่งโรจน์และเวลาแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ใกล้จะมาถึงแล้ว
นอกจากนั้นพระองค์ยังสอนเราว่าวิธีการที่จะการรู้จักกับพระองค์ได้ดีที่สุดก็คือการมีชีวิตแบบพระเยซูเจ้าด้วยการตายต่อตัวเราเองและยอมตายจริงๆเพราะ“ถ้าเมล็ดข้าวไม่ตกลงดินและตายไปมันก็จะเป็นเพียงเมล็ดเดียวเท่านั้นแต่ถ้ามันตายมันก็จะบังเกิดผลมากมาย และพระองค์ยังกล่าวย้ำอีกว่า“ผู้ที่รักชีวิตของตนย่อมจะเสียชีวิตนั้นส่วนผู้ที่พร้อมจะสละชีวิตของตนในโลกนี้ก็ย่อมจะรักษาชีวิตนั้นไว้สำหรับชีวิตนิรันดร” (ยน.12:24-25) ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ได้ดีที่สุดเพราะตลอดชีวิตของพระองค์พระองค์มิได้คิดถึงตัวของพระองค์เองเลยแต่ทรงทำทุกอย่างเพื่อเรามนุษย์ทุกคนด้วยความรักอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยจนบางครั้งพระองค์ไม่มีเวลาแม้แต่จะกินพักผ่อนและสวดภาวนาแต่พระองค์ก็ทำทุกอย่างด้วยใจเสียสละอย่างแท้จริงทรงสั่งสอนทรงทำอัศจรรย์และรักษาโรคแก่ผู้ที่ต้องการพระเมตตาและความช่วยเหลือจากพระองค์และแม้กระทั่งในเวลาสุดท้ายของชีวิตด้วยความตายพระองค์ก็ยังยอมหลั่งโลหิตและตายบนไม้กางเขนด้วยความสมัครใจเพื่อไถ่บาปเราและความรอดพ้นของมนุษยชาติและนี่แหละครับตัวอย่างของ“ผู้ที่เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อผู้อื่น”
พี่น้องครับในช่วงเวลาของมหาพรตในสัปดาห์ที่5 จึงเป็นข้อคิดสำหรับเราทุกคนด้วยเหมือนกันว่าเราปรารถนาจะรู้จักกับพระเจ้ามากน้อยแค่ไหนและอยากมีชีวิตแบบไหน?เราจะเลือกเจริญชีวิตเป็นแบบบุคคล“ที่รักชีวิตของตน” ด้วยการคิดถึงแต่เรื่องของตนเองและทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ด้วยกาคิดว่า“เมื่อตนเองทำสิ่งนี้แล้วตนจะได้อะไรเป็นผลผลตอบแทน” หรือเลือกมีชีวิตแบบพระเยซูเจ้าด้วยการ“สละชีวิตของตนในโลกนี้”ทำทุกอย่างเพื่อพระเจ้าและคนอื่นด้วยใจเสียสละตายต่อตัวเราเองรักและรับใช้ผู้อื่นด้วยความยินดีตามแบบอย่างพระคริสตเจ้าดังที่คุณแม่เทเรซาเคยกล่าวไว้กระแสเรียกของเราคริสตชนคือความรักและการรับใช้เพราะ“ความเชื่อในภาคปฏิบัติคือความรักและความรักในภาคปฏิบัติคือการรับใช้”
…คุณพ่อปลัด…