ข้อคิดพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ ปีB
มก16: 15-20…ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง…พระเจ้าทรงรับพระเยซูเจ้าขึ้นสู่สวรรค์และให้ประทับณเบี้องขวา…
วันนี้เราทำการสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ มิใช่เป็นวันที่เราจะต้องมาเป็นทุกข์เสียใจเพราะการจากไปของพระองค์แต่ควรจะต้องเป็นวันที่เราคริสตชนทุกคนต้องชื่นชมยินดีกันอย่างถ้วนหน้าเป็นวันที่เราจะต้องทำการรื้อฟื้นความหวังของเราในเป้าหมายที่เรากำลังมุ่งไปสู่คืออาณาจักรสวรรค์ที่องค์พระเยซูเจ้าพระผู้ทรงเป็นศีรษะได้ทรงล่วงหน้าเราไปก่อน…
ข้อคิด…การเสด็จกลับคืนพระชนมชีพและการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าและการส่งพระจิตมายังบรรดาอัครสาวกเป็นองค์ประกอบของธรรมล้ำลึกปัสกาอันเดียวกันซึ่งอยู่นอกเหนือกาลเวลาของโลกเรามนุษย์คือพระเยซูเจ้าทรงออกจากพระคูหากลับไปหาพระบิดาเจ้าและประทานพระจิตมายังบรรดาศิษย์ของพระองค์
อย่างไรก็ตามจากทัศนะของบรรดาศิษย์รุ่นแรกๆของพระเยซูเจ้าซึ่งได้ใช้ชีวิตอยู่กับพระองค์ต่างก็เชื่อกันว่าพฤติกรรมทั้ง3 อย่างที่ว่านั้นได้เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป…คือศิษย์ของพระเยซูเจ้าได้พบพระคูหาว่างเปล่าตอนเช้าตรู่ของวันอาทิตย์และต่อมาในวันเดียวกันนั้นเองพระผู้ได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพได้ทรงประจักษ์ให้พวกเขาได้แลเห็น(ยน20: 1-25)…และทรงอยู่กับพวกเขาอีก40 วัน…แล้วนั้นพระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าเขาทั้งหลาย(กจ1: 1-11)…หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้รับพระจิต(กจ2: 1-13)…การสิ้นสุดของการปรากฎองค์ของพระเยซูเจ้าได้ทำให้พวกศิษย์ตระหนักว่าพระองค์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะไม่อยู่กับพวกเขาอย่างเป็นกายภาพอีกต่อไปแล้วแต่พระองค์จะทรงประทับอยู่กับพระเจ้าตลอดไปอย่างนิจนิรันดร์ต่อไปนี้พวกเขาจะมีพระจิตเจ้าอยู่กับพวกเขาแทนองค์พระเยซูเจ้าพระอาจารย์
ส่วนความหมายเชิงเทววิทยาของวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ในวันนี้จะปรากฎอยู่ในบทอ่านที่2…“พระบิดาทรงบันดาลให้พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายและให้ประทับเบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์…พระเจ้าทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้พระบาทของพระคริสตเจ้าและทรงแต่งตั้งพระคริสตเจ้าไว้เหนือสรรพสิ่งให้ทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักรซึ่งเป็นพระวรกายของพระองค์” (ดูอฟ1: 20-23)
ส่วนในบทอ่านที่1(กจ1: 1-11)และพระวรสาร(มก16: 15-20) นั้นพระเยซูเจ้าทรงมอบหมายพันธกิจให้กับพวกอัครสาวกพร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญาแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์ด้วยว่าพระองค์จะทรงทำงานร่วมกับพวกเขาและทรงรับรองคำสั่งสอนโดยอัศจรรย์ที่ติดตามมา
นักบุญลูกา(กจ1: 1-11) ได้นำเสนอสิ่งที่ได้บังเกิดขึ้นแก่สายตาของบรรดาผู้ที่จะเป็นประจักษ์พยานให้กับเรื่องราวของการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าอย่างไรก็ตามเราต้องไม่ยึดถือเรื่องเล่านี้แบบตามตัวอักษรเพราะการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าเป็นธรรมล้ำลึกซึ่งอยู่เหนือคำบรรยายทั้งหลายทั้งปวงของมนุษย์แต่ถึงกระนั้นก็ดีสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับพระเยซูเจ้านั้นก็เป็นอะไรที่เป็นจริง
ในระหว่างห้วงเวลาแห่งภารกิจสาธารณะพระเยซูเจ้าได้ทรงกินและดื่มกับพวกอัครสาวกและศิษย์ของพระองค์พวกเขาได้มีประสบการณ์ถึงความรักและความใส่ใจของพระองค์ที่มีต่อพวกเขาไม่เว้นแต่ละวันจนทำให้พวกเขามีความรู้สึกว่าพระองค์ได้กลายเป็นคนหนึ่งในกลุ่มของพวกเขาเลยทีเดียวและจู่ๆพระองค์ก็ได้จากไป
การเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าหมายถึงว่าพระองค์ทรงจากพวกเขาไปพร้อมทั้งความสนิทสนมเป็นกันเองคล้ายกับเป็นครอบครัวเดียวกันนั้นได้สิ้นสุดลงเลยหรืออย่างไร?
คำตอบก็คือทั้ง“ใช่” และ“ไม่ใช่”
พระเยซูเจ้าจะไม่ทรงปรากฏองค์แบบที่เห็นเป็นตัวตนอย่างที่พวกเขาเคยเห็นพระองค์ในขณะที่ยังใช้ชีวิตแบบคนทั่วๆไปแต่พระองค์ก็มิได้ทรงจากพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิงแต่ว่านับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไปพระเยซูเจ้าจะทรงมีบทบาทใหม่คือหลังจากการดิ้นรนต่อสู่กับชีวิตเป็นเวลาหลายปีบนโลกใบนี้แล้วพระเยซูเจ้าก็ได้รับเกียรติอันรุ่งโรจน์จากพระบิดาเจ้าสวรรค์ของพระองค์พระองค์ได้ทรงกลายเป็นเจ้านายแห่งสิ่งสร้างทั้งหลายทั้งปวงและสำหรับศรัทธาชนพระเยซูเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดกับพวกเขามากกว่าที่เคยเสียอีกทั้งยังทรงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้มากกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำไปอีกด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทาง“องค์พระผู้บรรเทา”หรือ“องค์พระจิตเจ้า”
ส่วนพระวรสาร(มก16: 15-20) ในวันนี้ก็ได้ลงท้ายด้วยการที่บรรดาศิษย์ได้แยกย้ายกันออกไปเทศนาสั่งสอนทั่วทุกแห่งหนองค์พระเยซูเจ้าทรงทำงานร่วมกับพวกเขาและทรงรับรองคำสั่งสอนโดยอัศจรรย์ที่ติดตามมา
การเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าเป็นการปลดปล่อยพระองค์เองให้พ้นจากข้อจำกัดทั้งหลายทั้งปวงของกาลเวลาและสถานที่ซึ่งก็คงมิใช่เป็นการถอดถอนพระองค์ให้ออกจากโลกใบนี้ไปเลยเสียทีเดียวแต่พระองค์ยังคงสถิตอยู่ทั่วๆไปบนโลกใบนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาศิษย์ของพระองค์
ในห้วงเวลาที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้โดยปรกติแล้วพระองค์สามารถปรากฏองค์เฉพาะในสถานที่เดียวในเวลานั้นๆเท่านั้นเช่นถ้าหากพระองค์ทรงอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มพระองค์ก็จะไม่ไปปรากฏตัวที่เมืองคาเปอร์นาอุมดังนี้เป็นต้นและในทางกลับกันก็เช่นกันแต่ว่าในขณะนี้พระองค์ได้ทรงกลับไปร่วมชิดสนิทกับพระเจ้าแล้วพระองค์จึงทรงสถิตอยู่ในทุกหนทุกแห่งที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่นั่นก็คือพระองค์ทรงสถิตอยู่ในทุกหนทุกแห่งและในทุกเวลานั่นเอง
บรรดาคริสตชนรุ่นแรกๆเข้าใจในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีพวกเขารู้ดีว่าพระเยซูเจ้ายังทรงอยู่กับพวกเขาแม้ว่าจะมิใช่ด้วยวิธีการอันเดียวกันกับเมื่อครั้งที่พระองค์ยังทรงใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขาพวกเขาเชื่อว่าพระองค์ยังคงแบ่งปันชีวิตกับพวกเขาอยู่และเชื่อว่าความตายของพวกเขาคงจะต้องหมายถึงการไปร่วมชิดสนิทกับพระองค์ในเกียรติมงคลตลอดไปนั่นเองแต่ว่าในห้วงเวลานี้หลังจากที่พระองค์ทรงมอบความไว้วางใจให้กับพวกเขาที่จะสานงานของพระองค์บนโลกใบนี้ต่อไปและในขณะนี้ก็เป็นพวกเรานั่นเองที่พระองค์ทรงมอบความไว้วางใจให้เราคริสตชนสานต่องานอันเดียวกันที่จะประกาศข่าวดีแห่งพระวรสารและเจริญชีวิตข่าวดีนั้นจวบจนสิ้นโลก
อาจจะมีบางเวลาในชีวิตของเราที่เราพบว่าตัวเราเองกำลังตกต่ำด้วยความเศร้าและความเจ็บปวดและอยู่บนหนทางแห่งความโดดเดี่ยวเราต้องรำลึกไว้เสมอว่าเรามิได้อยู่เพียงลำพังองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพทรงอยู่ร่วมเดินทางแห่งชีวิตไปพร้อมๆกับเราและพระองค์ทรงทราบดีถึงความทุกข์ยากลำบากทั้งปวงของเรามนุษย์พระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดกับเราเราสามารถได้รับพระสิริรุ่งโรจน์เช่นเดียวกับพระองค์โดยทางความทุกข์และความตายซึ่งจะช่วยทำให้เรื่องราวชีวิตของเรามีความหมายการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าให้ความหมายชีวิตมนุษย์ด้วยความหวังมิใช่เพียงแต่จะจบลงด้วยดีเท่านั้นแต่จะต้องจบลงด้วยสิริรุ่งโรจน์
การสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์นี้เกี่ยวข้องกับเรามากเท่ากับที่เกี่ยวข้องกับองค์พระเยซูเจ้าเองการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์แสดงให้เราเห็นถึงเป้าหมายสูงสุดของการเดินทางแห่งชีวิตของเราคริสตชนบนโลกใบนี้เรามีชีวิตอยู่ในความหวังแห่งพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า“เราอยู่ที่ใดท่านจะอยู่ที่นั่นด้วย” เพียงแต่ขอให้เราได้ซื่อสัตย์ในการติดตามพระองค์ไปจนถึงที่สุด
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์