แทน คิดสักนิด…สะกิดใจ
สมณลิขิตเตือนใจMaximum Illud
วันแพร่ธรรมสากล2017 (วันที่22 ตุลาคม) พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงประกาศให้เดือนตุลาคม2019 เป็น“เดือนพิเศษแห่งการแพร่ธรรม” ทั้งนี้เพื่อเฉลิมฉลองพระสมณลิขิต Maximum Illud ของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่15 ที่ทรงกระตุ้นให้ผู้รับผิดชอบทุกระดับหันมาใส่ใจในงานแพร่ธรรมสู่ปวงชน (Missio Ad Gentes) ซึ่งองค์พระสันตะปาปาเองได้ทรงตอบรับข้อเสนอเพื่อการฉลองนี้จากสมณองค์กรสนับสนุนงานแพร่ธรรม(PMS) และทรงมอบหมายให้สมณองค์กรนี้ดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์สำคัญสองประการคือปลุกจิตสำนึกทุกภาคส่วนของพระศาสนจักรให้ตระหนักถึงความสำคัญและความจริงจังในงานแพร่ธรรมสู่ปวงชน (Missio Ad Gentes) และฟื้นฟูชีวิตของพระศาสนจักรและกิจกรรมต่างๆด้านงานแพร่ธรรม”
Maximum Illud คือสมณลิขิตของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ที่ทรงประกาศใช้เมื่อวันที่30 พฤศจิกายน1919 ในปีที่6 แห่งสมณะสมัยของพระองค์ซึ่งเป็นต้นแบบของสมณสารที่เกี่ยวกับงานแพร่ธรรมในสมัยต่อๆมา
สาเหตุที่พระองค์ทรงเขียนสมณลิขิตฉบับนี้ขึ้นก็เพราะพระองค์ทรงมีความรู้สึกเสียใจที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง(1914-1918) ทำให้คนจำนวนมากต้องตายและเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงไปทั่วทวีปยุโรปนอกจากนั้นบรรดาธรรมทูตจากยุโรปมักจะนำเอาวัฒนธรรมประจำชาติของตนไปครอบงำผู้คนในประเทศต่างๆจนทำให้คนเกิดความรู้สึกว่าคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาของคนยุโรปหรือเป็นคนแปลกหน้าสำหรับคนท้องถิ่นนั้นๆหรือเป็นศาสนาที่มาเพื่อล่าอาณานิคมธรรมทูตบางคนแสวงหาผลประโยชน์อื่นๆให้กับประเทศของตนแทนที่จะทำเพื่อพระศาสนจักรส่วนรวม และในสมัยนั้นมีการค้นพบประเทศใหม่ๆจำนวนมากซึ่งประชาชนเหล่านั้นยังไม่รู้จักพระเจ้า ด้วยเหตุเหล่านี้พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่15 จึงได้ออกสมณลิขิตฉบับนี้ขึ้น
สมณลิขิตMaximun Illud ประกอบด้วย5 ภาค42 ข้อ ประกอบด้วย
ภาคที่1 “บทนำ” (ข้อที่1-7) พระสันตะปาปาทรงเชิญชวนให้ทุกคนหวนคิดถึงบรรดาอัครสาวกแห่งพระวรสารผู้ที่มีส่วนทำให้งานธรรมทูตได้แพร่หลายไปตามพระบัญชาของพระเยซูที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง” (มก16:15) พระองค์ทรงทบทวนประวัติศาสตร์งานธรรมทูตที่ผ่านมาเช่นตัวอย่างของน.ฟรังซิสเซเวียร์ในประเทศอินเดียและญี่ปุ่นบาร์โธโลมิวเดอลากาซัสในทวีปอเมริกาและบุคคลอื่นๆที่แสดงให้เห็นว่าการทำงานเพียงคนๆเดียวก็สามารถรับใช้พระเจ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีบรรดาธรรมทูตจำนวนมากได้ตายเป็นมรณะสักขีเพื่อยืนยันความเชื่อและหลายคนดำเนินชีวิตเยี่ยงนักบุญพระองค์ยังทรงตระหนักถึงงานธรรมทูตยังดินแดนที่พบใหม่ๆเช่นออสเตรเลียและหมู่เกาะต่างๆรวมถึงทวีปแอฟริกาและเอเซียซึ่งพระองค์ตรัสว่ายังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าและทรงชี้แจงถึงจุดประสงค์สองประการของสมณลิขิตนี้ซึ่งได้แก่ปลุกจิตสำนึกบรรดาพระสังฆราชอธิการเจ้าคณะสงฆ์นักบวชและสัตบุรุษทุกคนให้มีความกระตือรือร้นในงานในงานธรรมทูตและแนะนำวิธีการเพื่อการทำงานธรรมทูตให้บังเกิดผล
ภาคที่2 “ถึงบุคคลที่รับผิดชอบงานธรรมทูต” (ข้อ9-17) ถึงบทบาทของพระสังฆราชในฐานะอัครสาวกมีหน้าที่โดยตรงในการขยายพระอาณาจักรของพระเจ้าถึงบรรดาอธิการเจ้าคณะให้ใช้เครื่องมือทุกชนิดเพื่องานธรรมทูตทั้งการพูดการกระทำการเขียนเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นสมาชิกให้ทำงานในท้องทุ่งของพระเจ้าให้ร่วมงานกับสมาชิกด้วยความรักเป็นทั้งผู้นำและผู้พิทักษ์ความเชื่อเมื่องานที่หนึ่งเข้มแข็งแล้วให้ขยายออกไปยังสถานที่ใหม่ๆต่อไปถ้าบุคลากรไม่พอให้หาคนจากคณะอื่นๆมาช่วยโดยอาจจะให้ช่วยในด้านโรงเรียนโรงพยาบาลศูนย์เด็กกำพร้าศูนย์จิตเมตตาฯลฯให้ฝึกสงฆ์นักบวชพื้นเมืองเพื่องานธรรมทูตเพราะพวกเขาเข้าใจบริบทของประชาชนและสามารถเข้าถึงประชาชนในสถานที่และสภาพการณ์ที่ธรรมทูตต่างประเทศไม่สามารถเข้าถึงได้ที่สำคัญคือการเตรียมพวกเขาอย่างดีให้เท่าเทียมกับสงฆ์นักบวชที่ได้รับการเตรียมตัวจากยุโรปเพราะพวกเขาไม่ใช่มาทำงานเป็นผู้ช่วยของธรรมทูตต่างประเทศแต่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่เท่าเทียมกับธรรมทูตอื่นๆและพระศาสนจักรจะต้องไม่ทำตนให้เป็นคนแปลกหน้าจึงต้องฝึกอบรมคนพื้นเมืองให้เข้ามาร่วมงานมากขึ้น
ภาคที่3 “ถึงบรรดาธรรมทูต” (ข้อ18-30) บรรดาธรรมทูตที่กำลังทำงานในท้องทุ่งของพระเจ้าจงระลึกว่าพวกท่านกำลังนำแสงสว่างแห่งเมืองสวรรค์ไปให้มวลมนุษย์ไม่ใช่ทำงานเพื่อโลกแต่เพื่อพระคริสต์จึงต้องมีชีวิตจิตที่มั่นคงไม่แสวงหาผลประโยชน์เพื่อประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนตรงกันข้ามกับต้องทำงานเพื่อพระศาสนจักรส่วนรวมนอกจากนั้นธรรมทูตจะต้องอุทิศตนทำงานโดยไม่เห็นแก่ตัวหรือยึดตัวเองเป็นที่ตั้งก่อนที่จะเข้ารับหน้าที่พวกเขาจะต้องได้รับการฝึกอบรมเป็นพิเศษสำหรับประชาชนทั่วๆไปการปฏิบัติตนเป็นคนดีมีศีลธรรมมีคุณค่ามากกว่าคนรู้ทางสติปัญญาแต่อย่างไรก็ตามเขาจะต้องสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับความเชื่อที่ยุ่งยากต่างๆได้ทั้งนี้โดยการอ่านและการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญผู้เตรียมเป็นธรรมทูตจะต้องเรียนรู้ทั้งทางธรรมได้แก่วิชาศักดิ์สิทธิ์ต่างๆและวิชาทางโลกที่จำเป็นสำหรับงานธรรมทูตซึ่งมหาวิทยาลัยอูบาร์นีอานาของสมณกระทรวงเพื่อการประกาศพระวรสารสู่ปวงชน(1 สิงหาคม1627) เป็นสถานที่สำหรับฝึกอบรมงานด้านธรรมทูต (Missiology) อย่างเป็นทางการให้กับสมาชิกของพระศาสนจักรนอกจากนั้นธรรมทูตควรเรียนรู้เรื่องภาษาและวัฒนธรรมของประเทศที่จะต้องไปทำงานด้วยอย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญคือธรรมทูตต้องเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ทั้งนี้ให้ยึดพระเยซูเจ้าเป็นรูปแบบในการทำงานและทรงชมเชยการอุทิศตนทำงานของบรรดานักบวชหญิง
ภาคที่4 “ถึงคาทอลิกทุกคน” (ข้อ31-40) พระสันตะปาปาทรงเน้นว่างานธรรมทูตไม่ได้เป็นงานของบรรดาธรรมทูตเท่านั้นแต่คาทอลิกทุกคนต้องมีส่วนร่วมในงานนี้ทุกคนสามารถช่วยได้ในสามรูปแบบด้วยกันคือการภาวนาเพื่องานธรรมทูตการสนับสนุนกระแสเรียกและการช่วยเหลือทางด้านวัตถุปัจจัย
นอกจากนั้นพระสันตะปาปายังได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของสมณองค์กรที่รับผิดชอบบริหารจัดการงานธรรมทูตของพระศาสนจักรได้แก่สมณกระทรวงการประกาศพระวรสารสู่ปวงชนซึ่งมีสมณองค์กรสนับสนุนงานแพร่ธรรมหรือPMS (Pontifical Mission Societies) เป็นหนึ่งในการผู้รับผิดชอบฯซึ่งยังประกอบด้วยสมณองค์กรย่อยอีกสี่สมณองค์กรได้แก่สมณองค์กรเผยแพร่ความเชื่อ ( Society for the Propagation of the Faith) มีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนงานด้านการเงินที่จำเป็นในการเผยแพร่ความเชื่อทั้งในพระศาสนจักรที่จัดตั้งขึ้นแล้วและพระศาสนจักรที่กำลังจัดตั้งขึ้นในอนาคตในโครงการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานแพร่ธรรมเช่นการสร้างโบสถ์การสนับสนุนครูคำสอนสื่อมวลชนฯลฯสมณองค์กรยุวธรรมทูต(Association of the Holy Childhood) สมณองค์กรนี้ให้ความช่วยเหลือบรรดาเด็กๆให้ได้รับศีลล้างบาปก่อนตายสนับสนุนเด็กๆให้มีความเชื่อมั่นคงและเรียนรู้ที่จะเป็นธรรมทูตพร้อมที่จะแบ่งปันความเชื่อให้ผู้อื่นสมณองค์กรนักบุญเปโตรอัครสาวก(Society of St. Peter the Apostle) เป็นสมณองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษาและการฝึกอบรมพระสงฆ์นักบวชท้องถิ่นเพื่องานธรรมทูตและสมณองค์กรสหพันธ์ธรรมทูตของพระสงฆ์และนักบวช (Missionary Union of the Clergy) เป็นสมณองค์กรเพื่อช่วยทำให้พระสงฆ์นักบวชมีความพร้อมและความสามารถในการทำงานธรรมทูตเพื่อความรอดของคนที่ไม่ได้เป็นคาทอลิกและสนับสนุนงานของสันตสำนักในงานธรรมทูต
ภาคที่5 “บทสรุป” (ข้อ41-42) พระสันตะปาปาทรงคาดหวังว่างานธรรมทูตจะต้องประสบผลสำเร็จถ้าทั้งบรรดาธรรมทูตและสัตบุรุษร่วมมือกันปัญหาความขัดแย้งและบาดแผลจากสงครามโลกจะได้รับการเยียวยาโดยเร็วเราพร้อมที่จะปฏิบัติตามเสียงของพระองค์ที่ว่า “จงแล่นเรือออกไปที่ลึก” (ลก5:4) ขอพระมารดาของพระเจ้าราชินีแห่งอัครสาวกสดับฟังคำภาวนาของเราและวอนขอพระจิตเจ้าทรงช่วยพระสงฆ์นักบวชและสัตบุรุษในงานธรรมทูตนี้ด้วย
สมณลิขิต Maximun Illud ได้รับการยอมรับว่าเป็นเอกสารฉบับแรกที่ศึกษางานธรรมทูตด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและได้ให้หลักปฏิบัติและแนวทางในการทำงานแพร่ธรรมซึ่งเป็นต้นแบบของเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงานธรรมทูตของพระศาสนจักรคาทอลิกอื่นๆในสมัยต่อมา
สมณลิขิตนี้พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่15 ทรงให้คำแนะนำเพื่อแก้ไขปัญหาที่พระองค์ทรงห่วงกังวลสองประการได้แก่การที่บรรดาธรรมทูตมีการแข่งขันหรือชิงดีชิงเด่นกันและการที่ไม่พยายามที่จะฝึกอบรมสงฆ์นักบวชพื้นเมืองในงานธรรมทูตและลักษณะของการยึดติดในชาติของตนหรือลัทธิชาตินิยมทำงานเฉพาะกลุ่มของตน
สรุปสาระสำคัญของสมณลิขิตฉบับนี้ได้สี่ประการสำคัญคือ1) เน้นการให้ความสำคัญและแนวปฏิบัติแก่บรรดาผู้นำในงานธรรมทูต2) การให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมพระสงฆ์นักบวชท้องถิ่นให้พระศาสนจักรเป็นสากลมากที่สุด3) เน้นการบริหารจัดการและความร่วมมือกันในระหว่างองค์กรระดมทุนต่างๆของพระศาสนจักรและ4) เน้นการอบรมธรรมทูตในอนาคตให้สมบูรณ์แบบที่สุด
คำถามที่ท้าทายสำหรับงานธรรมทูตคือ “ทำอย่างไรให้ครอบคลุมพื้นที่ให้มากที่สุดโดยใช้คนให้น้อยที่สุด” (to cover maximum ground with the minimum number) และ“เขตพื้นที่ที่ท่านรับผิดชอบใดที่ยังไม่ได้รับข่าวดีของพระเยซูเจ้าและจำนวนคนที่ยังไม่ได้รับข่าวสารคริสตชนมีทั้งหมดกี่เปอร์เซ็นต์”
(https://www.svdcuria.org, https://w2.vatican.va/content/francesco/en/letters/2017/) (http://www.kamsondeedee.com)