บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
ในพิธีบูชาขอบพระคุณสำหรับเยาวชนณอาสนวิหารอัสสัมชัญกรุงเทพฯ
วันศุกร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ค.ศ. ๒๐๑๙
ให้เราออกไปเพื่อพบกับพระคริสตเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เสด็จมาพระวรสารที่เราเพิ่งจะได้ยินนี้เชื้อเชิญให้เราเริ่มก้าวเดินเพื่อมองไปข้างหน้าเพื่อพบกับสิ่งที่สวยงามที่สุดที่พระเจ้าประสงค์ที่จะประทานให้เรา: นั่นคือการเสด็จมาขององค์พระคริสตเจ้าในชีวิตและโลกของเราให้เราต้อนรับพระองค์ให้มาสถิตท่ามกลางเราด้วยความชื่นชมยินดีและความรักอันหาที่สุดมิได้ซึ่งมีเพียงพวกลูกที่เป็นเยาวชนเท่านั้นที่สามารถที่จะทำได้แต่ก่อนที่เราจะออกไปแสวงหาพระองค์นั้นเราเองย่อมรู้ดีว่าเป็นพระองค์เองที่เสด็จมาเพื่อแสวงหาและพบปะกับเราเมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเราเข้าสู่ประวัติศาสตร์จึงจำเป็นที่จะต้องตอบสนองอย่างสร้างสรรค์และค้นคิดทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆพวกเราก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความยินดีเพราะเราทราบดีว่าพระองค์ทรงกำลังรอคอยเราอยู่ณที่นั้น
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบว่าลูกๆที่เป็นเยาวชนนี้คืออนาคตของประเทศและของและโลกของเราในวันนี้พระองค์ประสงค์ให้พวกลูกทำภารกิจนี้ให้สำเร็จเนื่องด้วยพระเจ้าที่ทรงมีแผนการสำหรับผู้ที่พระองค์ทรงเลือกย่อมทรงมีแผนการสำหรับพวกลูกแต่ละคนด้วยเช่นกันพระเจ้าทรงเป็นบุคคลแรกที่ทรงฝันที่เชิญเรามาร่วมงานเลี้ยงของพระองค์ซึ่งเราต่างต้องร่วมจัดเตรียมด้วยกันในฐานะของชุมชนที่ประกอบด้วยพระเจ้าและพวกเรานี่เป็นงานเลี้ยงในพระอาณาจักรของพระองค์ที่ซึ่งไม่มีใครควรที่จะถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง
พระวรสารในวันนี้กล่าวถึงเด็กสาว10 คนที่ได้รับเชิญให้มองไปในอนาคตเพื่อที่จะมีส่วนในงานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ปัญหามีอยู่ที่ว่ามีบางคนที่ไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะพบกับพระองค์ไม่ใช่เพราะพวกเขาผลอยหลับไปแต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้จัดหาน้ำมันสำรองซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นให้เพียงพอสำหรับที่จะรักษาแสงไฟจากตะเกียงแห่งความรักพวกเขามีความกระตือรือร้นและมีแรงขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่พวกเขาปรารถนาที่จะตอบสนองต่อการเรียกขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ทีละเล็กทีละน้อยไฟของพวกเขากลับมอดดับลงพวกเขาอ่อนกำลังลงและพวกเขามาถึงงานเลี้ยงล่าช้านี่เป็นคำอุปมาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคริสตชนทุกคนเมื่อเรารับรู้ถึงการเรียกขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ให้เรามาเป็นส่วนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์และแบ่งปันความสุขแห่งพระอาณาจักรนี้กับผู้อื่นบ่อยครั้งที่เราประสบกับปัญหาและอุปสรรคซึ่งเราเองก็ทราบดีว่ามีมากแค่ไหนเมื่อเราประสบกับความทุกข์ยากของบรรดาผู้คนที่เรารักหรือเมื่อเราเผชิญกับความไร้ความสามารถในการที่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่ยากลำบากเมื่อนั้นความรู้สึกขมขื่นและการขาดความเชื่ออาจจะค่อยๆแผ่ซึมเข้ามาในจิตใจเราและทำให้จิตใจของเราเย็นชาลงขาดความกระตือรือร้นและทำให้เราไปถึงงานเลี้ยงไม่ทันเวลาในที่สุด
เพราะฉะนั้นพ่อจะถามพวกลูกว่าพวกลูกต้องการที่จะคงไว้ซึ่งไฟที่จะส่องสว่างท่ามกลางความมืดมนอนธการของความยากลำบากหรือไม่พวกลูกต้องการที่จะตอบสนองการเรียกขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่พวกลูกต้องการที่จะมีความพร้อมในการที่จะทำตามพระประสงค์ของพระองค์หรือไม่
พวกเราจะได้รับน้ำมันที่จะทำให้เรายังคงก้าวเดินไปข้างหน้าและกระตุ้นให้เราแสวงหาพระองค์ในทุกสถานการณ์นั้นได้อย่างไร
พวกลูกเป็นทายาทของประวัติศาสตร์แห่งการประกาศข่าวดีที่สวยงามยิ่งซึ่งได้ถ่ายทอดมาสู่พวกลูกในฐานะที่เป็นขุมทรัพย์อันประเสริฐอาสนวิหารอันสวยงามแห่งนี้เป็นประจักษ์พยานถึงความเชื่อศรัทธาในองค์พระคริสตเจ้าของบรรดาบรรพบุรุษของลูกความสัตย์ซื่อที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาเหล่านั้นผลักดันให้พวกเขาทำความดีเพื่อจะสร้างพระวิหารที่งดงามยิ่งกว่าเป็นพระวิหารที่ประกอบด้วยศิลาอันทรงชีวิตเพื่อที่จะนำความรักความเมตตาของพระเจ้าสู่ผู้คนในยุคสมัยของเขาพวกเขาเหล่านั้นทำเช่นนี้ได้โดยอาศัยความเชื่อในพระวาจาของพระเจ้าที่กล่าวโดยประกาศกโฮเชยาในบทอ่านที่หนึ่งในวันนี้: “เราจะพูดกับเขาด้วยความอ่อนโยนเราจะโอบกอดเขาด้วยความรักมั่นคงตลอดไป” (เทียบฮชย2: 14 และ19)
ลูกๆที่รักเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟแห่งพระจิตเจ้ามอดดับลงและเพื่อที่จะทำให้การมุ่งมั่นมองไปข้างหน้าและหัวใจของเรามีชีวิตชีวาอยู่เสมอจำเป็นที่เราต้องวางรากฐานให้มั่นคงในความเชื่อเดียวกันกับบรรพบุรุษพ่อแม่ปู่ย่าตายายและครูบาอาจารย์ของเราทั้งนี้ไม่ใช่เป็นการกักขังตัวเราเองกับอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วหากแต่เป็นการเรียนรู้ในการที่จะมีความกล้าหาญเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการที่จะตอบสนองต่อเหตุการณ์ในปัจจุบันชีวิตของบรรพบุรุษของเราเป็นชีวิตที่ต้องเผชิญกับการทดสอบและความทุกข์มากมายในการเดินทางของเขาพวกเขาได้ค้นพบความลับของการมีหัวใจที่เปี่ยมด้วยสันติสุขนั่นคือการหยั่งรากลงในพระเยซูคริสตเจ้าในชีวิตและพระวาจาของพระองค์ในการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระองค์
“บางครั้งพ่อมองเห็นบรรดาเยาวชนและเหล่าต้นไม้ที่งดงามมีกิ่งก้านสาขาแผ่ขยายขึ้นไปบนท้องฟ้าที่สูงชะลูดไปเรื่อยๆต้นไม้เหล่านั้นดูเหมือนกับว่าจะเป็นดังบทเพลงแห่งความหวัง แต่หลังจากเมื่อเกิดพายุขึ้นพ่อพบว่าพวกมันได้ร่วงหล่นล้มลงและตายไป เพราะพวกมันปราศจากรากที่ลึกพวกมันแผ่กิ่งก้านสาขาโดยปราศจากการปลูกฝังที่มั่นคง และพวกมันก็ล้มลงทันทีที่ธรรมชาติปลดปล่อยพลังออกมา นี่จึงเป็นความเจ็บปวดของพ่อที่บางครั้งเห็นบรรดาเยาวชนได้ถูกแนะนำให้สร้างอนาคตที่ปราศจากรากเหง้าต้นกำเนิดที่มาราวกับว่าโลกนั้นเพิ่งจะเกิดขึ้นในเวลานี้ เพราะว่า“ไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับพวกเราที่จะเจริญเติบโตขึ้นได้นอกเสียแต่เรามีรากฐานที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุนเราและช่วยให้เรามีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคงเพราะเป็นการง่ายที่จะล่องลอยไปเมื่อไม่มีสิ่งใดที่จะยึดเกาะอยู่ได้”(Exhor. ap. Christus vivit, 179)
หากเราไม่ได้หยั่งรากลึกพวกเราอาจจะรู้สึกสับสนเมื่อได้ยินเสียงจากทางโลกนี้ที่มีพลังในการดึงดูด“ความสนใจ” ของเราเสียงเหล่านี้มีความน่าสนใจอย่างยิ่งและแสดงตัวต่อเราในรูปแบบที่ได้รับการตกแต่งให้สวยงามและมีพลังแต่เสียงเหล่านี้จะค่อยๆทำให้เรารู้สึกว่างเปล่าเหนื่อยล้าว้าเหว่และหมดเรี่ยวแรง” (CV 142) และค่อยๆทำให้ไฟแห่งชีวิตที่ครั้งหนึ่งพระเจ้าได้ทรงจุดให้ลุกโพลงในตัวเรามอดดับลง
ลูกที่รักทั้งหลายพวกลูกเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความหวังมีความฝันและมีคำถามใหม่ๆอาจรวมถึงความสงสัยต่างๆอีกด้วยพ่อขอเชิญชวนให้พวกลูกรักษาความชื่นชมยินดีให้มีชีวิตชีวาจงอย่ากลัวที่จะมองไปในอนาคตข้างหน้าด้วยความเชื่อมั่นจงหยั่งรากลึกลงในพระเยซูคริสต์จงมองอนาคตด้วยความชื่นบานและความไว้วางใจประสบการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อลูกทราบว่าพระเจ้าได้ทรงแสวงหาลูกทรงพบลูกและทรงรักลูกตลอดนิรันดร์ มิตรภาพที่แน่นแฟ้นกับพระเยซูคริสต์ที่ได้รับการทำนุบำรุงนั้นคือน้ำมันตะเกียงที่เราต้องการเพื่อส่องสว่างหนทางของเราและของคนรอบข้างเราคือบรรดามิตรสหายเพื่อนบ้านเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกันเพื่อนร่วมงานรวมทั้งบรรดาคนเหล่านั้นที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากพวกลูก
จงไปพบพระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้กำลังเสด็จมาอย่ากลัวอนาคตอย่าท้อถอยแต่จงเชื่อว่าพระองค์กำลังรอคอยและกำลังจัดเตรียมเพื่อที่จะร่วมงานฉลองแห่งพระอาณาจักรสวรรค์พร้อมกับลูกทุกคน…