ข้อคิดวันอาทิตย์ที่3เทศกาลธรรมดาปี A
มธ4: 12-23…พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังเมืองคาเปอร์นาอุม…เพื่อให้พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริง… “ประชาชนที่จมอยู่ในความมืดได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนและในเงาแห่งความตายแสงได้ส่องขึ้นมาเหนือพวกเขาแล้ว”
“ประชากรที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดแลเห็นความสว่างยิ่งใหญ่”…นี่เป็นคำยืนยันของนักบุญมัทธิวที่บอกถึงผลกระทบจากพันธกิจขององค์พระเยซูเจ้าที่มีต่อประชากรทั้งหลาย…และแสงสว่างนั้นกำลังฉายแสงมายังพวกเราในขณะนี้ขณะที่เรากำลังชุมนุมกันอยู่ณรอบพระแท่นบูชาในพระนามของพระองค์
ข้อคิด…นักบุญมัทธิวได้เปรียบเทียบการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าว่าเป็นเหมือนกับแสงสว่างอันยิ่งใหญ่ที่ส่องสว่างประชาชนซึ่งเจริญชีวิตอยู่ในความมืดท่านนักบุญมองเห็นว่าพระเยซูเจ้าเป็นผู้ที่บันดาลให้คำพยากรณ์ของท่านประกาศกอิสยาห์ได้สำเร็จเป็นไป
“ประชาชนที่จมอยู่ในความมืดได้เห็นแสงสว่างยิ่งใหญ่ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนและในเงาแห่งความตายแสงสว่างได้ส่องขึ้นมาเหนือพวกเขาแล้ว”
และพระเยซูเจ้าเองก็ได้ทรงสาธยายพระภารกิจของพระองค์ด้วยถ้อยคำที่คล้ายคลึงกันว่า“เราคือแสงสว่างส่องโลก”
ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติก็มีตัวอย่างของอาจารย์หรือครูผู้สอนศิษย์จำนวนไม่น้อยแทนที่จะนำแสงสว่างมาให้กับลูกศิษย์และมวลมนุษย์กลับนำความมืดที่มาพร้อมๆกับคำสั่งสอนของพวกเขามาให้กับมวลมนุษย์คำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าเป็นท่อธารแห่งแสงสว่างจริงๆสำหรับทุกๆคนที่ยอมรับพระองค์และคำสั่งสอนของพระองค์
พระองค์ได้ทรงสอนว่า“ให้รักศัตรูของท่านและจงอธิษฐานภาวนาให้กับผู้ที่เบียดเบียนท่าน” ดังนี้ก็เท่ากับว่าพระองค์ทรงสลัดเอาความมืดแห่งการแก้แค้นให้ออกไปเสียจากตัวพระองค์เองพร้อมกันนั้นก็ทรงนำแสงสว่างแห่งการให้อภัยและการคืนดีกันมาให้
ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องชาวซามาริตันผู้ใจดีพระองค์ก็ทรงละทิ้งเสียซึ่งความมืดแห่งการละเลยและการไม่ยินดียินร้ายในความต้องการของเพื่อนพี่น้องพร้อมกันนั้นก็ได้ทรงเร่งรัดให้เราได้นำแสงสว่างแห่งการรู้จักใส่ใจซึ่งกันและกันมาให้
ในคำสั่งสอนของพระองค์เรื่องการใช้อำนาจพระองค์ก็ทรงละทิ้งเสียซึ่งความมืดที่อยากจะเป็นเจ้านายเหนือคนอื่นและการชอบเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นพร้อมกันนั้นก็ขอให้บรรดาผู้นำทั้งหลายได้รู้จักรับใช้ผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนโยนและด้วยความเสียสละตามแบบอย่างของพระองค์
แต่ว่าเหนือสิ่งอื่นใดด้วยพฤติกรรมต่างๆและการพบปะกับผู้คนได้ทำให้คุณงามความดีต่างๆของพระองค์ได้ฉายแสงเป็นที่ปรากฏแก่คนทั้งหลายได้มีคนแล้วคนเล่าที่ได้มาหาพระองค์ในความมืดและได้กลับออกไปอย่างอิ่มเอิบใจในแสงสว่าง
พระองค์ได้ทรงนำเอาคนบาปออกจากความมืดแห่งบาปให้เข้าไปสู่แสงสว่างแห่งพระหรรษทานและความรักของพระเจ้า
พระองค์ได้ทรงนำผู้คนที่อยู่ตามชายขอบของสังคมออกจากความมืดแห่งการถูกทอดทิ้งให้เข้าไปสู่แสงสว่างแห่งการยอมรับของสังคม
พระองค์ได้ทรงนำคนเจ็บป่วยและคนที่เต็มไปด้วยบาดแผลออกจากความมืดแห่งความเจ็บปวดและโรคภัยไข้เจ็บให้เข้าไปสู่แสงสว่างแห่งการอยู่ดีกินดี
พระองค์ได้ทรงนำซัคเคียสออกจากความมืดแห่งความโลภและความเห็นแก่ตัวให้เข้าไปสู่แสงสว่างและความชื่นชมยินดีแห่งการรู้จักแบ่งปัน
พระองค์ได้ทรงนำมารธาและมารีย์ออกจากความมืดแห่งความเศร้าโศกให้เข้าไปสู่แสงสว่างแห่งความหวังและชีวิต
พระองค์ได้ทรงนำโจรกลับใจออกจากความมืดแห่งความหมดหวังให้เข้าไปสู่แสงสว่างแห่งเมืองสวรรค์
โดยการกลับคืนพระชนมชีพจากความตายพระองค์ได้ทรงขับไล่ความมืดแห่งความตายพร้อมทั้งได้ทรงสัญญากับบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ว่าพวกเขาจะไม่เดินในความมืดแต่ว่าพวกเขาจะมีแสงสว่างแห่งชีวิตที่คอยเดินเป็นเพื่อนร่วมทางกับพวกเขาอยู่เสมอ
โลกมนุษย์เราทางด้านจิตใจจะมืดมิดสักเพียงใดหนอถ้าหากว่าแสงสว่างของพระคริสต์จะไม่ส่องสว่างมาให้พวกเขา
แต่ถึงกระนั้นก็ดีแม้ว่าพระเยซูเจ้าจะได้นำเอาแสงสว่างของพระเจ้าเข้ามายังโลกมนุษย์ก็มิใช่ทุกคนจะต้อนรับแสงสว่างนี้เป็นเรื่องน่าเศร้าที่หลายๆคนกลับปฏิเสธแสงสว่างของพระองค์และชอบที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความมืดด้วยเหตุนี้เองที่พระองค์ได้ทรงเริ่มการเทศน์สอนของพระองค์ด้วยการเรียกร้องให้กลับใจใช้โทษบาป“จงกลับใจใช้โทษบาปเพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์กำลังใกล้เข้ามาแล้ว”
การกลับใจใช้โทษบาปหมายถึงการยอมรับความบอดมืดของเรามนุษย์และการเปิดกว้างตัวเราเองให้กับแสงสว่างของพระคริสต์เพราะว่าคนที่ยอมรับพระองค์พระเยซูเจ้าก็จะกลายเป็นแสงสว่างแห่งชีวิตของพวกเขาและเป็นแสงสว่างส่องโลก
และด้วยการเจริญชีวิตในแสงสว่างที่พระเยซูเจ้าได้ทรงนำมาให้นี้เราก็จะกลายเป็นท่อธารแห่งแสงสว่างให้กับคนอื่นๆเปรียบเสมือนเป็นตะเกียงที่คอยส่องสว่างทางเดินแห่งชีวิตแต่ละก้าวให้กับเพื่อนพี่น้อง.
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์