• หน้าแรก
  • เกี่ยวกับอาสนวิหาร
    • ประวัติอาสนวิหารอัสสัมชัญ
    • สถาปัตยกรรม
    • บรรณฐาน
    • ภาษาลาตินในวัด
    • กระจกสี / stained-glass
    • รูปนักบุญ / saint sculpture
  • บริการต่างๆ
    • ล้างบาปทารก / Baptisms
    • การถ่ายภาพ / Take pictures
    • แต่งงาน / wedding
  • ติดต่อสอบถาม/Contact us
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับอาสนวิหาร
    • ประวัติอาสนวิหารอัสสัมชัญ
    • สถาปัตยกรรม
    • บรรณฐาน
    • ภาษาลาตินในวัด
    • กระจกสี / stained-glass
    • รูปนักบุญ / saint sculpture
  • บริการต่างๆ
    • ล้างบาปทารก / Baptisms
    • การถ่ายภาพ / Take pictures
    • แต่งงาน / wedding
  • ติดต่อสอบถาม/Contact us

2020-05-24 ข้อคิดวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ ปี A

ข้อคิดวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์

ปี A

 

มธ 28:16-20…พระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้พระเยซูเจ้า…และพระองค์จะอยู่กับเราทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ…

การเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าเป็นสุดยอดแห่งชัยชนะของพระองค์เหนือบาปและความตาย เป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีและเป็นวันแห่งความหวังสำหรับผู้ที่กำลังติดตามพระองค์…พระองค์ทรงต้องการให้เราได้มีส่วนร่วมในชัยชนะของพระองค์ แม้นว่าพระองค์ได้ทรงละจากพวกเราไปสู่สวรรค์แล้ว แต่พระองค์ก็ยังอยู่กับพวกเราผ่านทางพระจิตของพระองค์ซึ่งคอยช่วยเหลือพวกเราที่ยังใช้ชีวิตบนโลกใบนี้และกำลังเดินทางแห่งชีวิตมุ่งหน้าไปสู่พระอาณาจักรสวรรค์

ข้อคิด…การเสด็จกลับคืนพระชนมชีพ การเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าและการส่งพระจิตมายังบรรดาอัครสาวก เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ยิ่งใหญ่อันเดียวกันแห่ง “ธรรมล้ำลึกปัสกา” และในธรรมล้ำลึกอันหนึ่งอันเดียวกันนี้ซึ่งอยู่นอกเหนือกาลเวลาและพื้นที่ของโลกเรามนุษย์…คือพระเยซูเจ้าทรงออกจากพระคูหา กลับไปหาพระบิดาเจ้าและประทานพระจิตมายังบรรดาอัครสาวก

      อย่างไรก็ตามจากทัศนะของบรรดาศิษย์รุ่นแรกๆซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในห้วงของเวลาของโลกใบนี้…พฤติกรรมทั้ง 3 อย่างที่ว่านั้น ได้รับการบรรยายว่าได้เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป คือศิษย์ของพระเยซูเจ้าได้พบพระคูหาว่างเปล่าตอนเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ และต่อมาในวันเดียวกันนั้นเอง พระผู้ได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพได้ทรงประจักษ์ให้พวกเขาได้แลเห็นและทรงอยู่กับพวกเขาอีกสี่สิบวันแล้วก็เสด็จสู่สวรรค์…และหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้รับพระจิต ในวันที่ห้าสิบ(กจ 1: 1-11, 2: 1-13)…ซึ่งแตกต่างไปจากพระวรสารของนักบุญยอห์นที่ได้กล่าวอย่างมีนัยยะว่าเหตุการณ์ทั้งสามได้เกิดขึ้นในวันเดียวกัน คือในวันอาทิตย์ปัสกา…ใน ยน 16: 7“เพราะถ้าเราไม่ไป พระผู้ช่วยเหลือก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน”และ ยน 20: 19, 22“ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์…ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า‘จงรับพระจิตเจ้าเถิด’”…การสิ้นสุดของการปรากฎองค์ของพระเยซูเจ้าได้ทำให้พวกเขาตระหนักว่าพระเยซูเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พระองค์จะไม่ทรงอยู่กับพวกเขาอย่างมีตัวตนจับต้องได้เหมือนแต่ก่อน แต่พวกเขาจะมีองค์พระจิตเจ้าอยู่กับพวกเขาแทนองค์พระเยซูเจ้า พระอาจารย์

 

      ความหมายเชิงเทววิทยาของวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ในวันนี้ จะปรากฎอยู่ในบทอ่านที่ 2 “พระเจ้าทรงประทานพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระเยซูเจ้า โดยทรงแต่งตั้งพระองค์ไว้เหนืออำนาจทั้งหลายและสิ่งสร้างทั้งปวงบนโลกใบนี้ และให้ทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักรซึ่งเป็นพระวรกายของพระองค์” (ดู อฟ 1: 20-23)

      ส่วนในบทอ่านที่ 1 และพระวรสารนั้น พระเยซูเจ้าทรงมอบหมายพันธกิจให้กับพวกอัครสาวก พร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญาแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์ด้วย

      นักบุญลูกาได้นำเสนอสิ่งที่ได้บังเกิดขึ้นแก่สายตาของบรรดาผู้ที่จะเป็นประจักษ์พยานให้กับเรื่องราวของการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้า อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ยึดถือเรื่องเล่านี้แบบตามตัวอักษร เพราะการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าเป็นธรรมล้ำลึกซึ่งอยู่เหนือคำบรรยายทั้งหลายทั้งปวง แต่ถึงกระนั้นก็ดี สิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับพระเยซูเจ้านั้น ก็เป็นอะไรที่เป็นจริงด้วย

      ในระหว่างห้วงเวลาแห่งภารกิจสาธารณะ พระเยซูเจ้าได้ทรงกินและดื่มกับพวกอัครสาวกและศิษย์ของพระองค์ พวกเขาได้มีประสบการณ์ถึงความรักและความใส่ใจของพระองค์ที่มีต่อพวกเขาไม่เว้นแต่ละวัน จนทำให้มีความรู้สึกว่าพระองค์ได้กลายเป็นบุคคลหนึ่งในกลุ่มพวกอัครสาวกเลยทีเดียว

      การเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าหมายถึงว่าพระองค์ทรงจากพวกเขาไป พร้อมทั้งความสนิทสนมเป็นกันเองคล้ายกับเป็นครอบครัวเดียวกันนั้นได้สิ้นสุดลงเลยหรืออย่างไร?

      คำตอบก็คือ ทั้ง “ใช่”และ “ไม่ใช่”

      พระเยซูเจ้าจะไม่ทรงปรากฏองค์แบบที่เห็นเป็นตัวตนสัมผัสได้อย่างที่พวกเขาเคยเห็นเคยสัมผัสและรู้จัก แต่พระองค์ก็มิได้ทรงจากพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง…แต่นี้ไป พระองค์ทรงมีบทบาทใหม่ คือหลังจากการดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตเป็นเวลาหลายปีบนโลกใบนี้แล้ว พระเยซูเจ้าก็ได้รับการสวมมงกุฎด้วยเกียรติอันรุ่งโรจน์จากพระบิดาเจ้าสวรรค์ของพระองค์ พระองค์ได้ทรงกลายเป็นเจ้านายแห่งสิ่งสร้างทั้งหลายทั้งปวง (บทอ่านที่ 2)…สำหรับผู้มีความเชื่อศรัทธาในพระองค์พระเยซูเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดกับพวกเขามากกว่าที่เคยเสียอีก ทั้งยังทรงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้มากกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำไปอีกด้วย

      พระวรสารได้ลงท้ายด้วยคำมั่นสัญญาของพระเยซูเจ้าที่ว่าพระองค์จะทรงอยู่กับบรรดาศิษย์ของพระองค์จนกระทั่งถึงวันสิ้นโลกการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าเป็นการปลดปล่อยพระองค์เองให้พ้นจากข้อจำกัดทั้งหลายทั้งปวงของกาลเวลาและสถานที่ ซึ่งก็คงมิใช่เป็นการถอดถอนพระองค์ให้ออกจากโลกใบนี้ไปเลยเสียทีเดียว แต่พระองค์ยังคงอยู่กับบรรดาศิษย์ของพระองค์ต่อไปจนถึงวันสิ้นพิภพ

      ในห้วงเวลาที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ โดยปรกติแล้ว พระองค์สามารถปรากฏองค์เฉพาะในสถานที่เดียวในเวลานั้นๆเท่านั้น เช่นถ้าหากพระองค์ทรงอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ก็จะไม่ไปปรากฏตัวที่เมืองคาเปอร์นาอุม ดังนี้เป็นต้น และในทางกลับกันก็เช่นกัน แต่ว่าในขณะนี้ พระองค์ได้ทรงกลับไปร่วมชิดสนิทกับพระบิดาเจ้าแล้ว พระองค์จึงทรงสถิตอยู่ในทุกหนทุกแห่งที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ นั่นก็คือพระองค์ทรงสถิตอยู่ในทุกหนทุกแห่งและในทุกเวลานั่นเอง

      บรรดาอัครสาวกและคริสตชนรุ่นแรกๆเข้าใจในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี พวกเขารู้ดีว่าพระเยซูเจ้ายังทรงอยู่กับพวกเขา แม้ว่าจะมิใช่ด้วยวิธีการอันเดียวกันกับเมื่อครั้งที่พระองค์ยังทรงมีชีวิตและกินอยู่กับพวกเขา…พวกเขาเชื่อว่าพระองค์ยังคงแบ่งปันชีวิตกับพวกเขาอยู่ และเชื่อว่าการออกจากโลกนี้ไปของพวกเขาคงจะต้องหมายถึงการไปร่วมชิดสนิทกับพระองค์ในพระเกียรติมงคลตลอดไปนั่นเองแต่ว่าหลังจากที่พระองค์ทรงมอบความไว้วางใจให้กับพวกเขาที่จะสานต่อพันธกิจของพระองค์บนโลกใบนี้ต่อไป…ก็จะเป็นพวกเรานั่นเองที่จะต้องสานต่องานเดียวกันนี้ ที่จะประกาศพระวรสารและเจริญชีวิตพระวรสารนั้นจวบจนสิ้นโลก

 

เครื่องมือของพระเจ้า

“จงไปสั่งสอนนานาชาติ

ให้มาเป็นศิษย์ของเรา”

เป็นคำสั่งลาของพระคริสตเจ้า

ณ บัดนี้และบนโลกใบนี้

พระองค์ไม่มีตัวตนต่อไปอีกแล้ว

นอกจากพวกเรา

พระองค์ไม่มีมือ นอกจากมือของพวกเรา

ที่จะช่วยพยุงคนที่หกล้มให้ลุกขึ้น

พระองค์ไม่มีเท้า นอกจากเท้าของพวกเรา

ที่จะตามหาผู้ที่สูญหาย

พระองค์ไม่มีตา นอกจากตาของพวกเรา

ที่จะมองเห็นหยาดน้ำตาของผู้ทนทุกข์

พระองค์ไม่มีหู นอกจากหูของพวกเรา

ที่จะได้ยินเสียงร้องของผู้ถูกโดดเดี่ยว

พระองค์ไม่มีลิ้น นอกจากลิ้นของพวกเรา

ที่จะพูดคำปลอบโยนให้กับผู้เศร้าโศก

พระองค์ไม่มีหัวใจ นอกจากหัวใจของพวกเรา

ที่จะรักคนที่ไม่เคยได้รับความรัก

      พระเจ้าข้า โปรดสงสารพวกเรา

ศิษย์ที่ขี้ขลาดและขี้กลัว

โปรดประทานความกล้าหาญให้กับพวกเรา

เพื่อจะสามารถเป็นประจักษ์พยานถึงพระองค์บนโลกใบนี้

ด้วยการประกาศข่าวดีของพระองค์

เพื่อให้บรรดาประชาชาติจะสามารถพบหนทาง

ไปสู่พระอาณาจักรของพระองค์

สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์

เกี่ยวกับวัดฯ

  • ประวัติอาสนวิหาร
  • แม่พระอัสสัมชัญ
  • บรรณฐาน
  • สถาปัตยกรรม
  • กระจกสี
  • ภาษาลาตินในวัด

บริการต่างๆ

  • ล้างบาปทารก / Baptisms
  • แต่งงาน / Wedding
  • การขออนุญาตถ่ายภาพ

สารวัดย้อนหลัง

  • บทสนทนาจากเจ้าอาวาส
  • คิดสักนิด...สะกิดใจ...
  • ปลัดแก่ ซอย40
  • ปี 2012

บุคลากร/องค์กรต่างๆในวัด

  • พระสงฆ์
  • สำนักงานวัด
  • สภาภิบาล
  • นักขับร้อง
  • สโมสรเยาวชน

ลิงค์คาทอลิก

  • สภาสังฆราชคาทอลิกประเทศไทย
  • อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
  • หอจดหมายเหตุ อัครสังฆมณฑลฯ
  • สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย
Facebook-f Youtube