แทนคิดสักนิด…สะกิดใจ
ภาวนาเหมือนเด็กเล็กๆ
ถ้าคุณได้ยินเวลาเด็กๆสวดภาวนาคุณต้องตกหลุมรักพวกเขาแน่ๆเวลาที่พวกเขาอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าคำภาวนาของพวกเขาช่างไร้เดียงสาไม่มีความกังวลและความกังวลและความกลัวว่าจะพูดอะไรผิดพวกเขามั่นใจว่ามีใครคนหนึ่งที่คอยฟังคำภาวนาของเขาจริงๆพวกเขาวอนขอพระพรและอัศจรรย์ให้เกิดขึ้นขอแล้วขออีกซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้เบื่อ
แล้วกับพวกเราล่ะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกเราเติบโตและเรียนรู้ว่ามีวิธีสวดภาวนาแบบเป็นทางการซึ่งเราต้องฝึกท่องตามสูตรที่ดูเหมือนทำให้ความกระตือรือร้นในการภาวนานั้นจางหายไปคำภาวนาของเรากลายเป็นเหมือนเครื่องจักรที่จำเจและน่าเบื่อหน่ายจนบางครั้งการสวดภาวนาก็เป็นยาหลับที่ดีเยี่ยม
ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเราไม่ได้ซาบซึ้งจริงจังนักเมื่อเราอธิษฐานภาวนาฉันยอมรับว่าตัวฉันเองก็มีปัญหาเสมอๆเมื่อต้องภาวนา
ข้อแรกฉันมองว่าการภาวนาเป็นเรื่องที่“ต้องทำ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้การภาวนาไม่ได้มาจากใจอิสระเมื่อคิดในแง่นี้ใครกันล่ะที่อยากจะภาวนาเมื่อไรก็ตามที่การภาวนากลายเป็นหนึ่งในรายการของสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันความกระตือรือร้นความมีชีวิตชีวาก็หายไปทันที
ประการที่สองฉันโตมากับความคิดที่ว่าเมื่อคุณต้องการทำสิ่งใดให้สำเร็จคุณต้องทำด้วยตนเองจึงจะเป็นจริงได้
การสวดภาวนาไม่เคยช่วยให้สำเร็จได้หรอก(ซึ่งความคิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลย)
แล้วถ้าเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความสามารถของคุณล่ะเมื่อนั้นแหละคุณจึงหันกลับไปหาการภาวนาเพราะแผนการแรกของคุณไม่สำเร็จแผนที่สองที่สามก็ไม่ได้ผลแต่ส่วนตัวฉันฉันก็ยังไม่สวดภาวนาอยู่ดีทำไมนะหรือ? ก็เพราะฉันเชื่อในคำโกหกที่บอกฉันว่า“พระเจ้าไม่เคยสนใจฉันและพระองค์ช่วยฉันแก้ปัญหาไม่ได้หรอก” และหากฉันต้องอธิษฐานภาวนาฉันก็มักคิดว่าฉันกำลังกวนใจพระองค์พระองค์ไม่ได้ต้องการฟังและไม่เคยฟังคำอธิษฐานของฉันเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อวันเวลาผ่านไปฉันก็ได้รู้ว่าฉันมีความรู้น้อยและเข้าใจผิดมากในเรื่องการภาวนา
ข้อแรกการภาวนาไม่ได้เป็นหน้าที่แต่เป็น“สิทธิพิเศษ”
ในบทจดหมายถึงชาวฮีบรูบทที่4 ข้อ15-16 บอกไว้ว่า“เพราะเหตุว่าเราไม่มีมหาสมณะที่ร่วมทุกข์กับเราผู้อ่อนแอไม่ได้แต่เรามีมหาสมณะผู้ทรงผ่านการทดลองทุกอย่างเหมือนกับเรายกเว้นบาปดังนั้นเราจงเข้าไปสู่พระบัลลังก์แห่งพระหรรษทานด้วยความมั่นใจเพื่อรับพระกรุณาและพบพระหรรษทานเกื้อกูลในยามที่เราต้องการ”
การอธิษฐานภาวนาเป็นพระพรที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่ลูกๆของพระองค์เป็นสิทธิพิเศษไม่ใช่หน้าที่
ประการที่สองเมื่อพระเจ้าทรงมอบหมายพันธกิจให้พระองค์ไม่ได้ปล่อยให้เราทำเพียงลำพัง
แทนที่จะคิดว่าคุณต้องทำเองโดยลำพังจงมอบงานนั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์พระองค์จะทรงจัดการและสอนให้คุณรู้ว่าควรทำอย่างไรฉันเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากแบบอย่างของผู้มีความเชื่อทั้งหลายในอดีต
ฉันได้อ่านหนังสือเอสเธอร์(ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเชื่อสิอ่านแล้วคุณจะชอบ) ในตอนที่ประชากรของเธอกำลังเดือดร้อนอย่างหนักเธอต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยพวกเราสิ่งแรกที่เธอทำคือสวดภาวนาและจำศีลอดอาหารเป็นเวลา3 วันถ้าฉันเป็นเธอฉันคงคิดหาวิธีการต่อสู้ขั้นรุนแรงอย่างเฉียบพลันแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เอสเธอร์ทำเธออธิษฐานภาวนาเป็นอย่างแรก
หรือถ้าฉันเป็นเธอจริงๆฉันคงสิ้นหวังและยอมแพ้เพราะโดยสายตาของมนุษย์สิ่งเหล่านี้เกินกำลังของเธอคนเหล่านั้นกำลังจะถูกสำเร็จโทษแต่เอสเธอร์ไม่ได้คร่ำครวญถึงความทุกข์ของตนเองหรือแม้แต่คิดสงสารตนเองที่ต้องอธิษฐานภาวนาและอดอาหารที่สุดพระเจ้าทรงตอบสนองความเชื่อของเธอพระองค์ทรงเปลี่ยนจิตใจสามีของเธอผู้มีอำนาจที่จะช่วยเหลือได้เอสเธอร์ร่วมรับความเสี่ยงในพันธกิจและพระเจ้าทรงอยู่กับเธอในทุกก้าวจังหวะของชีวิต
ฉันกอดเก็บปัญหาและความทุกข์ของฉันไว้เมื่อพระองค์ทรงเป็นเหมือนที่พึ่งสุดท้ายฉันจึงหันไปหาพระองค์พระองค์ทรงชี้ทางออกให้ฉันบางครั้งคำตอบอาจไม่ได้มาในทันทีหน้าที่ฉันคือวอนขอซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยปราศจากความกังวลสงสัยและความกลัว
“แต่เขาต้องขอด้วยความเชื่อโดยไม่สงสัยเพราะผู้ที่สงสัยนั้นเปรียบเสมือนคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปมา” (ยก1:6) และวันหนึ่งพระองค์จะทรงประทานอาจดูเหมือนว่าพระองค์ทรงไม่ทันการแต่ที่จริงแล้วพระองค์ทรงทันเวลาเสมอ
หัวใจของการภาวนาคือการภาวนาแบบเด็กๆฉันเองกำลังพยายามอยู่ฉันเชื่อว่าแม้จะเป็นการเริ่มต้นก้าวเดินเล็กๆแต่พระองค์ทรงเปิดประตูแห่งความสัมพันธ์ของฉันกับพระองค์แล้ว
จากนิตยสารแม่พระยุคใหม่: ฉบับที่204, ส่งเสริมศรัทธา