บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 4:1-24
เราแต่ละคนได้รับความสามารถพิเศษเพื่อเสริมสร้างพระวรกายของพระเยซูคริสตเจ้า
ข้าพเจ้าผู้ถูกจองจำเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า ขออ้อนวอนท่านทั้งหลายให้ดำเนินชีวิตสมกับการที่ท่านได้รับเรียก จงถ่อมตนอยู่เสมอ จงมีความอ่อนโยน พากเพียรอดทนต่อกันด้วยความรัก พยายามรักษาเอกภาพแห่งพระจิตเจ้าด้วยสายสัมพันธ์แห่งสันติ มีกายเดียวและจิตเดียว ดังที่พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการเดียว มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อหนึ่งเดียว ศีลล้างบาปหนึ่งเดียว พระเจ้าหนึ่งเดียว ผู้ทรงเป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน ทรงกระทำการผ่านทุกคน และทรงสถิตอยู่ในทุกคน
เราแต่ละคนได้รับพระหรรษทาน ตามสัดส่วนที่พระคริสตเจ้าประทานให้ เพราะฉะนั้น จึงมีคำกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นเบื้องสูง พระองค์ทรงนำบรรดาเชลยไปด้วย และทรงแจกจ่ายของประทานแก่บรรดามนุษย์”
คำว่า “พระองค์เสด็จขึ้น” นั้นหมายความว่าอะไรเล่า ถ้ามิใช่หมายความว่าพระองค์ได้เสด็จ ลงไปยังแผ่นดินเบื้องล่างก่อนแล้ว และพระองค์ผู้เสด็จลงไปก็เป็นองค์เดียวกับผู้เสด็จขึ้นไปเหนือสวรรค์ทุกชั้น เพื่อจะได้ครอบครองทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์
พระองค์ประทานให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นประกาศก บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวดี บางคนเป็นผู้อภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ไว้สำหรับงานรับใช้เสริมสร้างพระกายของพระคริสตเจ้า จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ตามมาตรฐานความสมบูรณ์ของพระคริสตเจ้า
เราจะได้ไม่เป็นเด็กทารก ถูกคลื่นซัดโคลงเคลงล่องลอยตามกระแสลมคำสั่งสอนทุกอย่างที่เกิดจากเล่ห์กลของมนุษย์ ด้วยอุบายอันชาญฉลาดที่คอยหลอกลวงให้หลงผิดอีกต่อไป แต่ให้เราดำเนินชีวิตในความจริงด้วยความรัก เจริญเติบโตขึ้นจนบรรลุถึงความสมบูรณ์ในพระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นพระเศียร พระองค์ทรงทำให้ร่างกายทุกส่วนประสานสัมพันธ์กันอย่างสนิทแน่นแฟ้น ทรงจัดให้ข้อต่อทุกข้อเสริมกำลังให้แต่ละส่วนทำหน้าที่ของตน ดังนี้ร่างกายจึงเจริญเติบโตและเสริมสร้างตนเองอย่างสมบูรณ์ขึ้นด้วยความรัก
ข้าพเจ้าขอกล่าวและย้ำเตือนท่านทั้งหลายในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า จงอย่าดำเนินชีวิตโดยไร้ความคิดดังที่คนต่างศาสนากระทำกันอีกต่อไป เขาเหล่านั้นมีความคิดมืดมัว ความโง่เขลาและจิตใจแข็งกระด้างทำให้เขาอยู่ห่างจากวิถีชีวิตของพระเจ้า เขาไม่รู้สึกว่าอะไรผิดอะไรถูก ฉะนั้นจึงปล่อยตัวในความลามก กระทำการน่าบัดสีทุกอย่างโดยไม่รู้จักอิ่ม
แต่ท่านมิได้มารู้จักพระคริสตเจ้าเช่นนี้ ท่านได้ฟังเรื่องราวและได้รู้จักองค์พระคริสตเจ้าตามความจริงที่ปรากฏอยู่ในพระเยซูเจ้าแล้ว ท่านจงถอดสภาพมนุษย์เก่าเลิกประพฤติตนเลวทรามตามราคตัณหาที่หลอกให้หลงไป จงมีจิตใจและความรู้สึกนึกคิดอย่างใหม่ จงสวมใส่สภาพมนุษย์ใหม่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงเนรมิตให้เหมือนพระองค์ มีความชอบธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากความจริง
บทก่อ-รับ
อฟ 4:8; สดด 46:6
ก่อ เมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จขึ้นเบื้องสูง พระองค์ทรงนำบรรดาเชลยไปกับพระองค์
รับ พระองค์ประทานพระคุณนานาประการแก่มนุษย์ อัลเลลูยา
ก่อ พระเจ้าเสด็จขึ้นด้วยเสียงโห่ร้อง พระเจ้าเสด็จขึ้นด้วยเสียงแตร
รับ พระองค์ประทานพระคุณนานาประการแก่มนุษย์ อัลเลลูยา
…………………………………………………………………………………………………………….
มาต่อ….เรื่องราวความเชื่อ เรื่องราวความรัก
เรื่องราวโดยย่อจากหนังสือทั้ง 73 เล่ม
ของพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม (THE OLD TESTAMENT)
14. อิสอัคให้กำเนิดยากอบและเอเซา ทั้ง 2 เป็นฝาแฝดกันเอเซาเป็นพี่ยากอบเป็นน้อง เอเซาแลกสิทธิลูกหัวปีกับถั่วต้มของยากอบ พระเป็นเจ้าเลือกยากอบเป็นหนทางสู่ความจริงตามพันธสัญญา
15. ยากอบมีบุตร 12 คน คนที่ 4 ชื่อ ยูดาห์ คนที่ 11 ชื่อยอแซฟ คนที่ 12 ชื่อ เบญจามิน
16. ยอแชฟถูกพี่ ๆ ขายไปเป็นทาสที่ประเทศอียิปต์ แต่พระเป็นเจ้าใช้เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องมือสำหรับเตรียมชาติอิสราแอลทั้ง 12 ตระกูลให้คงมีชีวิตไม่อดตาย และมีจำนวนมากมายมหาศาล
17. ชาวอิสราแอลตกเป็นทาสอยู่ในอียิปต์ พระเป็นเจ้าให้โมเสส นำประชากรของพระองค์ออกจากประเทศอียิปต์ออกจากการเป็นทาสสู่การเป็นไท อาศัยอัศจรรย์หลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัศจรรย์แห่งลูกแกะปาสกา
18. ชาวอิสราแอลอพยพอยู่ ในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี ระหว่างนั้นพระองค์ให้น้ำจากหินแก่เขาเพื่อดื่ม ให้เนื้อจากนกคุ่ม เพื่อเขารับประทานและให้ข้าวจากฟ้าที่เรียกว่า มานนา เหนือสิ่งอื่นใด พระเป็นเจ้าประทานพระบัญญัติ 10 ประการ แก่พวกเขาที่ภูเขาชีนัย พระองค์ทำพันธสัญญากับพวกเขา ถ้าหากเขาถือบัญญัติ และนับถือพระองค์พระองค์จะเป็นพระเป็นเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของพระองค์
19. ที่สุดพวกเขามาถึงแผ่นดินพันธสัญญา การอพยพก็สิ้นสุดลง พระองค์ทรงช่วยเขาภายใต้การนำของโยซูวาให้เข้าในแผ่นดินพันธสัญญาโดยง่าย
20. อิสราแอลเริ่มสร้างประเทศและชาติของตน และรื้อฟื้นพันธสัญญาระหว่างพวกเขากับพระเป็นเจ้า
21. ประเทศต่างๆ รอบข้างล้วนแต่มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครองแต่อิสราแอลไม่มี พะเป็นเจ้าทรงใช้ประกาศกและผู้วินิจฉัยแทนสถาบันกษัตริย์
22. ประกาศก คือ ผู้ที่พระเป็นเจ้าทรงเรียกเป็นพิเศษ เพื่อพูดแทนพระองค์ ตักเตือน ขู่ลงโทษ และบางครั้งให้กำลังใจปลอบโยน อีกทั้งอาจกล่าวทำนายถึงเหตุการณ์ที่จะเป็นมาในอนาคตทั้งใกล้และไกล เราจึงเรียกบรรดาประกาศกว่าผู้ทำนายหรือปรอเฟตา ประกาศกเหล่านี้มาจากบุคคลหลาย ๆ ชีวิต ซึ่งไม่เหมือนกันเลย พวกเขาเป็นประกาศกตลอดชีวิต
23. ผู้วินิจฉัย คือ ผู้ซึ่งประเป็นเจ้าแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองชาวอิสราแอลให้พ้นจากศัตรูทางการเมือง มีก่อนสถาบันกษัตริย์ส่วนใหญ่มักจะนำชัยชนะต่อการเบียดเบียนครอบครองอันเนื่องมาจากศัตรูรอบข้าง
24. ประกาศกที่สำคัญคือ อิสยาห์ เยเรมีห์ เอเสเคียล
ดาเนียล อามอส โฮเซยา มีคาห์ มาลาคี นาฮม
25. ผู้วินิจฉัยที่สำคัญ คือ กิเดโอน เดโบราห์ ชัมชอน โทรา ยาอีร์
26. นางรูธ เป็นชาวโมอับ แต่งงานกับชาวอิสราแอล ชื่อคิริโอน ซึ่งเป็นบุตรของนางนาโอมีกับสามีชื่อเอลีเมเล็คหลังจากคิริโอนตายแล้ว เหลือนางนาโอมีกับนางรูธลูกสะใภ้กลับมาที่บ้านเกิด ภายหลังนางรูธแต่งงานใหม่กับโบอาส ให้กำเนิดโอเบด โอเบดเป็นบิดาของเจสซีและเจสซีเป็นบิดาของกษัตริย์ดาวิด
27. สถาบันกษัตริย์เริ่มขึ้น ด้วยความต้องการของชาวอิสราแอลพวกเขาต้องการมีกษัตริย์เหมือนกับชนชาติอื่นๆรอบข้างพระผู้เป็นเจ้าได้ ใช้ประกาศกเตือนพวกเขาว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของพวกเขาอยู่แล้ว แต่ชาวอิสราแอลยังคงยืนกรานต้องการกษัตริย์
28. กษัตริย์ซาคูลเป็นกษัตริย์องค์แรกของชาวอิสราแอล แต่ได้ทำสิ่งที่ขัดเคืองน้ำพระทัยพระเป็นเจ้าอยู่เสมอ พระองค์จึงให้ประกาศกชามูแอลไปเจิมแต่งตั้งกษัตริย์องค์ใหม่คือกษัตริย์ “ดาวิด” แต่ดาวิดแม้จะยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวอิสราแอลก็ตามก็ยังคงทำผิดต่อพระเป็นเจ้า แต่ดาวิดกลับใจขอโทษ
ติดตามตอนต่อไป………
(บทความนี้เรียบเรียงโดย ป.จันทร์)
พงศ์ ประมวล,ความเชื่ออันเป็นชีวิต