วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม 2021 เตรียมรับเสด็จอาทิตย์ที่ 3
บทอ่านจากบทเทศน์ โดยนักบุญออกัสติน พระสังฆราช
ยอห์นเป็นเสียงและพระคริสตเจ้าเป็นพระวจนาตถ์
ยอห์นเป็นเสียง แต่พระคริสตเจ้าเป็นพระวจนาตถ์ “ผู้ได้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่แรกเริ่ม” ยอห์นเป็นเสียงที่คงอยู่ชั่วคราว พระคริสตเจ้าทรงเป็นพระวจนาตถ์ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดกาล ตั้งแต่แรกเริ่ม
ลบถ้อยคำและความหมายออกเสีย เสียงจะเป็นอะไร หากไม่มีความหมาย ก็เป็นแต่เสียงอึกทึก เสียงที่ไม่มีคำพูดกระทบหู ไม่ทำให้จิตใจเจริญขึ้น
อย่างไรก็ดี ให้เราสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเราเริ่มสร้างความคิดในจิตใจ เมื่อข้าพเจ้าคิดว่าจะพูดอะไร คำพูดและข่าวสารก็อยู่ในจิตใจแล้ว เมื่อข้าพเจ้าต้องการพูดกับท่าน ข้าพเจ้าก็หาทางที่จะแบ่งปันสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของข้าพเจ้าให้ท่าน
ในการที่จะหาทางสื่อข่าวสารนี้ไปยังท่าน เพื่อให้ถ้อยคำที่อยู่ในจิตใจของข้าพเจ้าได้เข้าไปในจิตใจของท่านด้วย ข้าพเจ้าก็เปล่งเสียงพูดกับท่าน ความดังของเสียงสื่อความหมายของคำพูดไปยังท่านแล้วก็ผ่านไป คำพูดซึ่งเสียงนำไปให้ท่าน บัดนี้อยู่ในจิตใจท่านแล้ว และก็ยังคงอยู่ในจิตใจของข้าพเจ้าด้วย
เมื่อถ้อยคำมาถึงท่าน ดูเหมือนเสียงจะกล่าวว่า “พระวจนาตถ์จะต้องยิ่งใหญ่ขึ้น และข้าพเจ้าต้องด้อยลง” ไม่ใช่หรือ ในการรับใช้ถ้อยคำเสียงดังก้องกังวานขึ้นให้ได้ยินไปทั่วแล้วก็ผ่านไป คล้ายกับเสียงจะกล่าวว่า “ความยินดีของข้าพเจ้าครบบริบูรณ์แล้ว” เราจงจดจำถ้อยคำนี้ไว้ อย่าปล่อยให้คำพูดที่หยั่งลึกลงในจิตใจเราเลือนหายไปเป็นอันขาด
ท่านอยากพิสูจน์ไหมว่าเสียงผ่านไป แต่พระวจนาตถ์ของพระเจ้าดำรงอยู่ พิธีล้างของท่านยอห์นเวลานี้อยู่ที่ไหน พิธีล้างของท่านบรรลุจุดประสงค์และผ่านพ้นไปแล้ว บัดนี้ เราประกอบจารีตพิธีศีลล้างบาปของพระคริสตเจ้า เราทุกคนเชื่อในพระคริสตเจ้า และหวังจะได้รับความรอดในพระองค์ นี่คือข่าวสารที่เสียงได้ร้องประกาศ
เนื่องจากเป็นการยากที่จะแยกถ้อยคำออกจากเสียง แม้ยอห์นเองก็ยังมีผู้เข้าใจว่าเป็นพระคริสตเจ้า มีคนคิดว่าเสียงเป็นพระวจนาตถ์ แต่เสียงรู้ว่าตนเองเป็นอะไร และระวังตัวไม่ทำผิดต่อพระวจนาตถ์ “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสตเจ้า” ท่านกล่าว “ไม่ใช่ เอลียาห์หรือประกาศก” และมีคนถามว่า “แล้วท่านเป็นใครเล่า” ยอห์นตอบ “ข้าพเจ้าเป็นเสียงร้องในถิ่นกันดารว่า จงเตรียมทางเพื่อพระเจ้า”
“เสียงร้องในถิ่นกันดาร” เป็นเสียงที่ทำลายความเงียบ “จงเตรียมทางเพื่อพระเจ้า” ท่านกล่าวเหมือนดังจะกล่าวว่า ข้าพเจ้าป่าวประกาศก็เพื่อจะนำพระองค์เข้ามาในจิตใจของพวกท่าน แต่พระองค์ไม่ยอมเสด็จเข้าไปในที่ที่ข้าพเจ้านำไป เว้นแต่พวกท่านจะเตรียมทางเพื่อต้อนรับพระองค์
“เตรียมทาง” หมายถึงภาวนาอย่างดี ซึ่งหมายความว่าคิดถึงตัวเองด้วยใจสุภาพ เราควรจะถือตามแบบอย่างของท่านยอห์น บัปติสต์ คนอื่นคิดว่าท่านเป็นพระคริสตเจ้า แต่ท่านประกาศว่าท่านไม่ได้เป็นดังที่พวกเขาคิด ท่านไม่ได้ฉวยโอกาสขณะที่ผู้อื่นเข้าใจผิด เพื่อแสวงหาเกียรติยศให้ตัวเอง
หากท่านจะกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นพระคริสตเจ้า” ท่านจะเข้าใจได้ว่าพวกเขาพร้อมที่จะเชื่อ เพราะพวกเขาเชื่อว่าท่านเป็นพระคริสตเจ้าก่อนที่ท่านจะบอกเสียอีก แต่ท่านไม่ได้กล่าวเช่นนั้น ท่านรู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านแสดงตัวอย่างเปิดเผยว่าท่านเป็นใคร ท่านถ่อมตน
ท่านได้เห็นแล้วว่าความรอดของท่านอยู่ที่ไหน ท่านเข้าใจดีว่าท่านเป็นตะเกียง และท่านกลัวว่าตะเกียงจะดับ เพราะกระแสลมแห่งความจองหอง
แบ่งปัน
พวกเราคงเคยได้ยินหรืออาจคุ้นเคยกับคำกล่าวที่ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น….” แต่ในความเป็นจริง มิใช่ว่าเราจะอยู่รู้เห็นทุกเหตุการณ์ในทุกแห่งทุกเวลาได้ เราจึงต้องอาศัยคำบอกเล่าหรือการสื่อข่าวจากผู้อื่นอยู่เสมอเหมือนทุกยามเช้าเราฟังข่าวอ่านข่าวจากสื่อต่างๆ อย่างไรก็ดีเราจะหยุดและสรุปแค่ฟังจากปากคำคนอื่นเท่านั้นก็ยังไม่พอ เราจึงต้องพยายามให้มีความรู้หรือมีประสบการณ์ในสิ่งต่างๆ ให้มากที่สุดเพื่อความแน่ใจในสิ่งๆ ต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังมา สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับชีวิตภายนอกของเราอย่างไร
ในอีกด้านหนึ่งความจริงสำหรับชีวิตฝ่ายจิตและชีวิตแห่งความเชื่อเราแสดงออกด้วยความศรัทธา สิ่งแรกที่เราต้องยอมรับเป็นธรรมล้ำลำลึกว่า เราต่างมองไม่เห็นพระเจ้า แต่เข้าถึงพระองค์ได้ในระดับหนึ่ง อาศัยการถ่ายทอดต่างๆ จากผู้อื่น เช่น จากการสั่งสอนในครอบครัว จากการฟังหรือการอ่านพระคัมภีร์ จากพิธีกรรมและวิถีชีวิต ของพระศาสนจักร เป็นต้น แต่ถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเราที่จะต้องมีประสบการณ์แห่งความเชื่อและต้องพยายามมุ่งสู่การรับรู้ด้วยตัวเองถึงการประทับอยู่ของพระเจ้ากับเราอยู่ตลอดเวลา
พระวาจาของพระเจ้าจากบทพระวรสารในสัปดาห์ที่ 3 ของเทศกาลเตรียมพระคริสตสมภพ บอกให้เราทราบว่าพระเจ้าทรงส่ง “พยานเอก” มายืนยันการเสด็จมาของพระคริสตเจ้า พระผู้ไถ่ของชาวเรา แล้วท่านก็ถูกผู้คนร่วมยุคถามว่า “ท่านเป็นใคร?” เป็นคำถามที่เราได้รับฟังอยู่หลายครั้งในพระวรสาร พระคริสตเจ้าเองก็ได้ทรงถามบรรดาศิษย์ว่า คนเขาว่าพระองค์เป็นใคร และเมื่อได้รับฟังคำตอบของคนอื่นๆ ที่บรรดาศิษย์สะท้อนให้พระองค์ฟังแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงเรียกร้องคำตอบนี้จากตัวศิษย์เองว่า “แล้วพวกท่านว่าเราเป็นใคร?….” ในเทศกาลเตรียมพระคริสตสมภพนี้จึงเป็นโอกาสดีอีกครั้งหนึ่งที่จะตอบตนเองว่า สำหรับเราแต่ละคน พระคริสตเจ้าทรงเป็นใคร และเราเองเป็นใคร มีจุดหมายของการใช้ชีวิตของตนอย่างไร การรู้จักพระองค์มากขึ้นพร้อมทั้งรู้จักตัวเราเองดีขึ้นจะช่วยให้ความหมายของความเชื่อในองค์พระคริสตเจ้าพัฒนามากขึ้นอยู่ตลอดเวลา
สำหรับในการเป็นพยานที่ดี เราต้องมีคุณสมบัติสำคัญ 2 ประการ
ประการแรกก็คือ เราต้องรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่เราพูดและยืนยัน พยานที่ขาดความรู้ความมั่นใจอย่างแท้จริง คงมิอาจเป็นพยานที่น่าเชื่อถือหรือนำมาอ้างอิงได้ เราจึงต้องมุ่งทำความรู้จักพระเจ้าอยู่เสมอ
ประการที่สอง ที่สำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือ ความกล้าหาญที่จะพูดและยืนยันความจริงที่ตนรู้เห็นโดยไม่สะทกสะท้านต่อการข่มขู่ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมีหลายคนแม้รู้เห็นเหตุการณ์และทราบความจริง ก็ไม่กล้าพูดไม่กล้าเป็นพยานเพราะเสี่ยงต่ออันตรายซึ่งอาจถึงแก่ชีวิต
ขอให้เทศกาลเตรียมพระคริสตสมภพ ช่วยให้พวกเราซื่อสัตย์มั่นคงในการติดตามพระคริสตเจ้าและประกาศความสุขความมั่นใจนี้ว่าเรามีพระองค์อยู่กับเราตามพระนามของพระองค์ที่ว่า “อิมมานูเอล” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา” ด้วยเถิด.ตรีวารพระคริสตสมภพ ช่วงเทศกาลเตรียมรับเสด็จฯ.