บทอ่านจากคำบรรยายหนังสือโยบ โดยนักบุญเกรโกร ผู้ยิ่งใหญ่ พระสันตะปาปา
บุคคลที่ชื่อตรงและไร้ตำหนิย่อมยำเกรงพระเจ้า
บางคนไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าความชอบธรรมคืออะไร ทว่ายิ่งพวกเขาละเลยความซื่อที่แท้โดยไม่รู้ตัว พวกเขาก็จะยิ่งขาดศีลธรรมอันถูกต้อง เพราะโดยที่ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรในการเจริญชีวิตที่ชอบธรรม พวกเขาชื่อเกินไปจนไม่อาจอยู่ในความถูกต้องได้
ดังนั้น ในจดหมายถึงชาวโรม นักบุญเปาโลได้เตือนบรรดาศิษย์ว่า “ข้าพเจ้าอยากให้พวกท่านมีความฉลาดในการกระทำความดี และไร้เดียงสาในความชั่ว” และอีกตอนหนึ่งในจดหมายถึงชาวโครินธ์ ท่านกล่าวว่า “อย่าประพฤติเหมือนเด็กในการตัดสิน แต่จงประพฤติตนเป็นคนไร้เล่ห์เหลี่ยมเหมือนเด็กๆ” ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าเองจึงตรัสสั่งบรรดาศิษย์ว่า “จงฉลาดรอบคอบเหมือนงู และชื่อดังนกพิราบ” จากคำสอนนี้พระองค์ได้ให้คติทั้งสองอย่างคือ โดยความฉลาดของงูทรงชมเชยความซื่อของนกพิราบ และด้วยความซื่อของนกพิราบทรงทำให้ความฉลาดของงูอยู่ในขอบเขต เพราะเหตุนี้พระจิตเจ้าได้ทรงแสดงพระองค์ ไม่ใช่ด้วยแบบนกพิราบเท่านั้น แต่ด้วยไฟในแบบนกพิราบเราได้รูปแบบแห่งความซื่อ ในแบบไฟ เราก็ได้ความหมายของความกระตือรือร้นในความดี พระจิตเจ้าได้ทรงไขแสดงพระองค์ในรูปแบบนกพิราบและไฟ เพราะว่าบุคคลใดที่เปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า ก็ศักดิ์สิทธิ์ด้วยความซื่อเรียบง่ายจนว่าลุกเป็นไฟ ด้วยความกระตือรือร้นที่จะทำความดี และต่อต้านการกระทำผิดของคนบาป
“บุคคลที่ซื่อตรงย่อมยำเกรงพระเจ้าและหลีกหนีจากความชั่ว” บุคคลใดมุ่งชีวิตนิรันดร์ก็ดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรง คือซื่อในกิจการและเที่ยงตรงในความเชื่อ ไร้ตำหนิในการปฏิบัติความดีภายนอก เที่ยงตรงอย่างลึกซึ้งภายในจิตใจ มีบางคนที่ไม่ซื่อสัตย์ในการปฏิบัติความดี เพราะว่าในการกระทำความดีนั้น เขาไม่แสวงหาการตอบแทนฝ่ายจิต แต่แสวงหาคำชมเชยของมนุษย์ ฉะนั้น ในหนังสือบุตรสิราจึงมีกล่าวไว้ว่า “วิบัติแก่คนบาปสองจิตสองใจ เวลานี้เขาเดินบนทางสองแพร่ง” คือภายนอกกิจการของเขาดูเหมือนว่าเกี่ยวกับพระเป็นเจ้า แต่ปรารถนาและแสวงหาสิ่งฝ่ายโลก
เป็นการถูกต้องที่จะกล่าวว่า “ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าจะหลีกหนีความชั่ว” เพราะพระศาสนจักรของผู้ถูกเลือกสรร เริ่มต้นในหนทางแห่งความซื่อตรงในความยำเกรงพระเจ้า แล้วบรรลุถึงความรัก ถึงแม้ว่าเป็นภาระหนักของพระศาสนจักรที่จะต้องหลีกหนีความชั่วอย่างสิ้นเชิง เมื่อเธอเริ่มต้นด้วยความรักพระเป็นเจ้า ก็จะละทิ้งบาป หากเธอทำความดีเพราะความกลัวแล้ว ภายในจิตใจก็จะยังไม่ตัดขาดจากความชั่ว เธอก็จะทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า หากว่าเธอจะไม่ต้องรับโทษเพราะทำบาปนั้น
ดังนั้น เป็นการถูกต้องที่โยบกล่าวว่า ท่านต้องยำเกรงพระเป็นเจ้า เพราะท่านได้หลีกหนีความชั่ว เนื่องจากความรักถูกกระตุ้นด้วยความยำเกรงพระเป็นเจ้า เมื่อความคิดจิตใจละทิ้งบาปด้วย
<แบ่งปัน>
ทุกครั้งที่พระองค์ตรัสอุปมา พระองค์กำลังเชื้อเชิญเราทุกคนให้ “หยุด คิด และทบทวน” ชีวิตของตนไปพร้อมกับคำสอนของพระองค์ มีพระวาจาจากพระโอษฐ์ของพระองค์อยู่หลายประโยคที่น่าสนใจ ที่วันนี้ พ่อก็อยากให้พี่น้อง “หยุด คิด และทบทวน” ไปพร้อมกับพ่อด้วย
“คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ…ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ แต่ทุกคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีแล้วก็จะเป็นเหมือนอาจารย์ของตน”
หากเรานั่งลง และหลับตา จินตนาการภาพตามประโยคดังกล่าวข้างต้น พ่อจินตนาการได้ 2 ภาพ คือ ภาพที่ 1 ชายตาบอด 2 คน ถือไม้เท้าของตน จับมือกัน ใช้ไม้เท้ากรุยทางข้างหน้า ก่อนที่จะเดินไปด้วยกันตามทางนั้นอย่างช้าๆ และภาพที่ 2 เป็นภาพของศิษย์ที่กำลังนั่งดื่มน้ำชากับอาจารย์ของตนใต้ต้นไม้ใหญ่ ศิษย์คนนั้นอาจจะตาบอด หรือ ไม่บอดก็ได้ หากพ่อจะเปรียบเทียบชาย 2 คน จากทั้งสองภาพ เป็น “ศิษย์และอาจารย์” เราจะเห็นว่า ภาพที่ 1 ทั้งศิษย์และอาจารย์นั้น ตาบอดทั้งคู่ และกำลังเดินอยู่ในเส้นทางของความวิตกกังวล อาจจะเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ หรือหวาดกลัว (ก็อาจเป็นไปได้) เพราะเขาทั้งสอง “มองไม่เห็น” ส่วนภาพที่สอง สะท้อนให้เห็นภาพของศิษย์และอาจารย์คล้ายกับเป็นมิตร คู่หู ศิษย์คนนั้นอาจจะตาบอด หรือ ไม่บอดก็ได้ แต่หากพิจารณาจากบรรยากาศของการนั่งดื่มชา และพูดคุย ก็สะท้อนให้เห็นภาพของบุคคลสองคนที่มีการพูดคุยแลกเปลี่ยน ผลัดกันพูด และผลัดกันฟัง ตลอดการสนทนา อาจจะมีเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม เกิดขึ้นเป็นระยะๆ บรรยากาศปกคลุมไปด้วยความอบอุ่น
พี่น้อง หากพ่อจะขอให้พี่น้องไตร่ตรอง พ่อให้คำถามกับพี่น้อง 3 คำถาม แล้วพี่น้องลองตอบกับตนเองในใจของตน
1) ทุกวันนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเยซูเจ้า เป็นศิษย์และอาจารย์ในลักษณะใดหากเราพิจารณาจาก 2 ภาพนี้
2) ใครบ้าง ที่เรายกให้เขาเป็นผู้นำพาชีวิตของเรา อาจารย์ตาบอดที่ตามอง “ไม่เห็น” หรือ อาจารย์ที่คล้ายกับเป็นคู่หู ซึ่งแม้เราจะตาบอดหรือไม่ แต่เราก็มั่นใจได้ว่า เขาคนนั้นจะไม่นำพาชีวิตของเราไปในความมืด
3) หากเรายกให้พระเยซูเจ้า เป็นผู้นำพาชีวิตของเรา ทุกวันนี้เรายังคงฟังเสียงของพระองค์อยู่หรือไม่ เรายังคงนำคำสอนของพระเยซูเจ้าผู้เป็นอาจารย์มาปฏิบัติในชีวิตประจำวันอยู่ไหม หรือ เราปล่อยให้พระองค์เป็นเพียงอาจารย์เกษียณอายุ และคิดว่า คำสอนของพระองค์ล้าหลังเกินไปที่จะนำมาใช้กับโลกยุคนี้
พ่อไม่มีคำตอบให้พี่น้อง พ่อเองก็ต้องพิจารณาชีวิตของพ่อในประเด็นเหล่านี้ในทุกๆ วันด้วยเช่นเดียวกันในฐานะที่พ่อเลือกที่จะติดตามพระองค์ผู้เป็นอาจารย์ เลือกที่จะนั่งดื่มชาที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้ ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาแห่งพระหรรษทานที่ทรงประทานให้ในชีวิตของพ่อ แล้วพี่น้องล่ะ คิดอย่างไร?
“เรารู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้จากผลของต้นไม้นั้น …คนดีย่อมนำสิ่งที่ดีออกจากขุมทรัพย์ในใจของตน…เพราะปากย่อมกล่าวสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา”
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าทรงเตือนใจเรา โลกทุกวันนี้มีสิ่งมากมายที่พร้อมจะดึงใจเราให้ออกห่างจากพระเจ้า ศาสนา ซึ่งเป็นหลักยึดเหนี่ยวที่มั่นคง เราเป็นผลจากต้นไม้ชนิดใด
ต้นไม้พันธุ์ดี หรือ ต้นไม้พันธุ์ไม่ดี
พันธุ์ไม้ทั้งสองต้น คือ ขุมทรัพย์แห่งใจ ส่วนผลของมัน คือ ปากที่เปล่งวาจา และ การกระทำที่เราปฏิบัติต่อตนเองและผู้อื่น
จากประโยคนี้ พ่อมีคำถามเดียวที่อยากให้พี่น้องไตร่ตรองพิจารณาตนเองไปด้วยกันกับพ่อ คือ ขุมทรัพย์แห่งใจของพี่น้อง ยังเป็นต้นแห่งพันธุ์ดี ที่มีพระเจ้าเป็นผู้บันดาลให้เติบโตหรือไม่?
หากพี่น้องตอบว่า ใช่ นั่นหมายความว่า ชีวิตของเราผ่านทางวาจาและการกระทำ จะสะท้อนถึงขุมทรัพย์แห่งใจภายใน ว่าเป็นพระเจ้าจริงหรือไม่? เพราะวาจาที่มาจากพระเป็นวาจาที่น่าฟัง และการกระทำที่มาจากคำสอนของพระ จะเป็นกระทำที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอ พี่น้อง จงเตือนใจเราอยู่ตลอดเวลาเถิดว่า “เรารู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้จากผลของต้นไม้นั้น …คนดีย่อมนำสิ่งที่ดีออกจากขุมทรัพย์ในใจของตน….เพราะปากย่อมกล่าวสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา”
พ่อจงใจจะนำแต่พระวรสารมาไตร่ตรองร่วมกันกับพี่น้อง เพราะพ่อเห็นว่า แม้จะเป็นเรื่องที่เราอาจจะได้ยินกันบ่อย แต่ “สำคัญมาก” เพราะหลายครั้งเรามักจะละเลยไป ดังนั้น หากเราหันความคิด และจิตใจของเรากลับมาพระเจ้า เราจะสามารถสังเกตเห็นท่อนซุงในตาของตนเองได้อย่างชัดเจน เราจะไม่ดำเนินชีวิตอย่างคนหน้าซื่อแต่ใจคด เห็นแต่เศษฟางในดวงตาของพี่น้องจนลืมมองท่อนซุงในตาของตนเอง เราจะรัก เข้าใจความดีและความผิดพลาดของพี่น้องรอบข้าง เหมือนที่เรารัก เข้าใจในความดี และความผิดพลาดของตนเอง เราจะละเว้นการตัดสินผู้อื่น กระทำแต่ความดี นำสิ่งที่ดีออกจากขุมทรัพย์ที่ดีในใจของตนเพื่อแบ่งปันให้กับคนรอบข้างในชีวิตของเราต่อไป…