บทอ่านจากคำแนะนำในการอภิบาล โดยนักบุญเกรโกรี ผู้ยิ่งใหญ่ พระสันตะปาปา
ผู้แนะนำฝ่ายวิญญาณควรนั่งเมื่อต้องนิ่ง และควรพูดเมื่อมีประโยชน์
ผู้แนะนำวิญญาณควรนิ่งเมื่อต้องนิ่ง และควรพูดเมื่อมีประโยชน์ มิฉะนั้น เขาอาจพูดเมื่อต้องนิ่ง และนิ่งเมื่อต้องพูด คำพูดพร้ำเพรื่ออาจนำผู้อื่นไปสู่ความหลง และการนิ่งที่ไม่รอบคอบอาจทำให้ผู้ที่ไม่ได้รับคำสั่งสอนเข้าใจผิด ชุมพาบาลผู้ขาดการมองไกลย่อมไม่กล้าพูดสิ่งที่ถูกต้องอย่างเปิดเผย เพราะกลัวเสียความดีความชอบต่อเพื่อนมนุษย์ พูดตามความจริงแล้วก็ต้องว่าผู้นำชนิดนี้ไม่ใช่ชุมพาบาลใจร้อนรนที่ปกป้องฝูงชุมพาของตน เขาเป็นลูกจ้างมากกว่า เขาหนีหาที่หลบภัยในการนิ่ง เมื่อสุนัขป่าปรากฏตัว
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงติเตียนชุมพาบาล โดยทางประกาศกว่า “เขาเป็นสุนัขใบ้ เห่าไม่เป็น” อีกครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงปรารภว่า “ท่านมิได้ก้าวออกไปสู้ศัตรูหรือตั้งกำแพงไว้หน้าบ้านของอิสราเอล เพื่อต่อสู้อย่างเหนียวแน่น ในการรบในวันของพระเจ้า” ก้าวออกไปสู้ศัตรู หมายถึงการต่อสู้อย่างห้าวหาญกับอำนาจของโลกเพื่อป้องกันฝูงชุมพา ต่อสู้อย่างเหนียวแน่นในการรบในวันของพระเจ้า หมายความว่าขัดขวางศัตรูร้าย เพราะความรักต่อสิ่งที่ถูกต้อง
เมื่อชุมพาบาลกลัวการยืนยันความจริง ก็เท่ากับว่าเขาหันหลังและหนีด้วยการนิ่งเงียบ ถ้าเขาเข้าขัดขวางเพราะเห็นแก่ฝูงชุมพา ก็เท่ากับว่าเขาตั้งกำแพงต่อสู้ศัตรูไว้หน้าบ้านอิสราเอล ฉะนั้น พระเป็นเจ้าจึงตรัสกับประชากรผู้หลงผิดว่า “บรรดาประกาศกของพวกเจ้า เห็นความเท็จและความบ้าอยู่กับพวกเจ้า เขามิได้ปริปากชี้ให้เห็นความชั่ว เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นทุกข์ถึงบาปและกลับใจ” คำว่าประกาศกนี้ ในพระคัมภีร์บางทีเรียกว่าอาจารย์ซึ่งชี้ให้เห็นสิ่งปัจจุบันที่ต้องหนี และไขแสดงสิ่งที่จะเป็นมา พระเป็นเจ้าทรงตำหนิติเตียนประกาศกเหล่านี้ เพราะเมื่อเห็นความเท็จแล้วไม่กล้าติเตียนความผิดของเขา และเช่นนี้ก็เท่ากับว่าให้กำลังใจคนทำผิด ด้วยคำสัญญาเลื่อนลอยว่า เขาปลอดภัย เพราะไม่กล้าติเตียน เขาจึงนิ่งเงียบและไม่ชี้ให้เห็นความผิดของคนบาป
คำติเตียนเป็นกุญแจเปิดประตู เพราะคำติเตียนแสดงความผิดซึ่งคนทำผิดบ่อยครั้งไม่ทันสังเกต ฉะนั้น นักบุญเปาโลจึงกล่าวถึงพระสังฆราชว่า “เขาต้องสามารถให้กำลังใจแก่มนุษย์ด้วยคำสอนที่ถูกต้อง และต้องโต้ตอบคนที่โต้แย้ง” ด้วยเหตุผลเดียวกัน พระเป็นเจ้าตรัสกับเรา โดยทางประกาศกมาลาคีว่า “ปากของพระสงฆ์ต้องรักษาความรู้ และมนุษย์จะคอยฟังกฎหมายจากปากของเขา เพราะเขาเป็นผู้นำข่าวของพระเจ้าจอมโยธา” ที่สุด ด้วยเหตุผลเดียวกัน พระเป็นเจ้าได้ทรงเตือนเราโดยประกาศกอิสยาห์ว่า “จงร้องอย่าหยุด จงส่งเสียงร้องให้กีกก้องอย่างแตร”
ทุกคนที่เข้ามารับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ ต้องรับหน้าที่เทศน์สอนด้วยเสียงร้องประกาศของเขา เขาจะเดินนำหน้าผู้พิพากษาที่น่าเกรงขามซึ่งจะติดตามมา ถ้าเขาไม่รู้จักเทศน์สอน ผู้ประกาศใบ้เช่นนี้จะร้องประกาศด้วยเสียงอะไรเล่า? ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระจิตเจ้าเสด็จมายังชุมพาบาลพวกแรกในรูปลิ้นไฟ เมื่อเขาเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า พระองค์ก็ทรงบันดาลให้เขาพูดได้ทันที…
พี่น้องที่รัก วันนี้ บรรดาอัครสาวกทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด” การทูลขอเช่นนี้ เกิดขึ้นจากปากของเราทุกครั้งที่เรามาหาพระเยซูเจ้าในบูชามิสซา หรือ ทุกครั้งที่เราภาวนาหรือไม่?เราทูลขอพระเจ้าให้เพิ่มพูนความเชื่อให้กับเราบ่อยครั้งหรือเปล่า ? พ่อมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ เขามักจะโทรหาพ่อ หรือบางครั้งก็มาหา นัดกันไปทานข้าว หรือร้านกาแฟ เพื่อเล่าปัญหาของเขาให้พ่อฟัง ทุกครั้งที่เขาเล่า ระบายเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต สิ่งหนึ่งที่พ่อมักได้ยินจากปากของเขาอยู่เสมอคือ “เราก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าสวดขอพระเจ้าในใจบ่อยๆ ว่า โปรดเพิ่มพูนความเชื่อของลูกเถิด ไม่อย่างนั้น เราคงไม่มีพลังพอที่จะเผชิญกับทุกสิ่งหรือสู้กับอะไรๆ ได้” พี่น้อง พ่อรู้สึกสะกิดใจกับคำว่า “สวดขอพระเจ้าในใจบ่อยๆ ว่า โปรดเพิ่มพูนความเชื่อของลูกเถิด” บ่อยครั้งเพียงใดที่เราเผชิญกับมรสุมของปัญหา แล้วก้มหน้าลง สวดขอพระให้เพิ่มพูนความเชื่อของเรา เพื่อเราจะได้สามารถสู้ทนได้ หรือ เราเพียงแต่ขอให้วิกฤตต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราผ่านพ้นไป พี่น้องครับ ยามที่เราเผชิญกับวิกฤตในชีวิต มันยากจริงๆ ที่เราจะยอมรับ และวอนขอความเชื่อ พ่อเชื่อเช่นนั้น แต่วันนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า ‘จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด’ ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน” พระเยซูเจ้าทรงยืนยันด้วยวาจาของพระองค์เองเพื่อให้เรามั่นใจว่า สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น ความเชื่อแม้เพียงน้อยนิด ก็ย่อมบันดาลให้เกิดผลดีได้ ขอเพียงจงรักษาความเชื่อของเราไว้เถิด
ในบทอ่านที่หนึ่งประกาศกฮาบากุก ส่งเสียงร้องต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
ฮาบากุก (หรือ มนุษย์) : เห็นการทำผิด การกดขี่ข่มเหง การปล้นสะดม การใช้ความรุนแรง การทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นอยู่ต่อหน้า และแตกสามัคคีมีเพิ่มขึ้น เขาร้องเรียกพระเจ้าด้วยเสียงอันดัง ตัดพ้อ ต่อว่า ตำหนิพระองค์ที่ไม่ทรงช่วยให้รอดพ้น
องค์พระผู้เป็นเจ้า : เห็นการทำผิด ทรงนิ่งมองดู เมื่อได้ยินเสียงร้อง ก็ตรัสตอบด้วยถ้อยดำรัสที่แสดงถึงความเพียรทน และรอคอยว่า “ยังไม่ถึงเวลาที่นิมิตนี้จะเป็นจริง แต่จะเป็นจริงในไม่ช้าตามที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน แม้นิมิตนี้จะล่าช้าไปบ้าง ก็จงคอยสักระยะหนึ่ง นิมิตนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนโดยไม่ชักช้า ผู้มีจิตใจไม่ซื่อตรงก็จะล้มลง แต่ผู้ชอบธรรมจะมีชีวิตเพราะความซื่อสัตย์”
ในความเป็นมนุษย์ของเรา บ่อยครั้งเรามักจะอดรนทนไม่ได้เมื่อเห็นการทำผิด และโดยเฉพาะความผิดของผู้อื่น เรายิ่งเห็นชัด ไม่ผิดเลยที่เราเรามนุษย์จะรู้สึกเช่นนั้น เพราะเรามีสติปัญญา ความคิดอ่าน มีปรีชาญาณและความสามารถในการไตร่ตรองแยกแยะถูกผิด แต่สำหรับพระเจ้านั้น แม้จะทรงเห็นการกระทำผิดมากมายในมนุษย์ ทรงเห็นแม้แต่ในตัวเราในสิ่งที่เราอาจมองไม่เห็นหรือมองข้ามไป พระองค์ทรง “ให้โอกาส และ ให้เวลา” หากเราพิจารณาให้ดี เราจะเห็นว่าท่าทีของพระเจ้าและท่าทีของมนุษย์ที่มีต่อความผิดบาปนั้น “แตกต่างกัน”ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงประสงค์ให้เรากระทำเช่นเดียวกับพระองค์ พร้อมกับให้คำมันกับเราว่า ที่สุดแล้ว “ผู้มีจิตใจไม่ซื่อตรงก็จะล้มลง แต่ผู้ชอบธรรมจะมีชีวิตเพราะความซื่อสัตย์”
พี่น้อง ชีวิตของเราคริสตชน “ความเชื่อและความซื่อสัตย์” เป็นพระพรพิเศษที่เราได้รับจากพระเจ้า นักบุญเปาโลจึงเน้นย้ำกับเราว่า “จงยึดถือคำสอนที่ถูกต้อง ซึ่งท่านได้ยินมาจากข้าพเจ้าไว้เป็นแบบอย่าง ด้วยความเชื่อและความรักในพระคริสตเยซู จงรักษาของมีค่าที่ได้รับมอบไว้ เดชะพระจิตเจ้าผู้สถิตอยู่ในเรา” หากเราตระหนักว่าความเชื่อและความซื่อสัตย์เป็นของมีค่าที่เราได้รับมอบไว้จากพระเจ้า ก็จงดำเนินชีวิตของตนเองอย่างดีในแต่ละวันต่อไป อย่าอายที่จะเป็นพยานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า ยอมรับกางเขนและยกขึ้นแบกไปพร้อมกับพระองค์ในทุกๆวัน อย่ากลัว เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่บันดาลความขลาดกลัว แต่ประทานจิตที่บันดาลความเข้มแข็ง ความรักและการควบคุมตนเองแก่เรา จงทำหน้าที่ของตนในแต่ละวันอย่างดีต่อไป และที่สุด“เมื่อท่านได้ทำตามคำสั่งทุกประการแล้ว จงพูดว่า ‘ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉันทำตามหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น” ให้พระเจ้าเป็นผู้เดียวที่จะรับของถวาย อันหมายถึงกิจการดีงามเล็กๆน้อยๆ ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง มากบ้าง น้อยบ้างที่เรากระทำ แม้จะเป็นสิ่งที่เรียบง่าย ธรรมดาเกินกว่าที่ใครๆจะมองเห็น แต่ขอให้เรามั่นใจว่า สิ่งเล็กน้อยเหล่านั้นไม่อาจหลุดรอดไปจากสายพระเนตรของพระเจ้าได้ และจะกลับกลายเป็นเครื่องบูชาที่มีคุณค่าและมีชีวิตสำหรับพระองค์อย่างแน่นอนในเมืองสวรรค์ ดังนั้น
จงทูลขอพระเจ้า “โปรดเพิ่มพูนความเชื่อของเรา”
จงดำเนินชีวิต โดยยึดมั่นในความเชื่อและความซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นของมีค่าที่เราได้รับมอบไว้ เดชะพระจิตเจ้าผู้สถิตอยู่ในเรา
และที่สุด เมื่อเราได้ทำตามคำสั่งทุกประการแล้ว จงพูดว่า “ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉันทำตามหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น”
เพราะสุดท้าย “ผู้มีจิตใจไม่ซื่อตรงก็จะล้มลง แต่ผู้ชอบธรรมจะมีชีวิตเพราะความซื่อสัตย์”…