บทอ่านจากบทเทศน์ที่ได้บันทึกไว้ในศตวรรษที่ 2
พระคริสตเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะกอบกู้ผู้ที่กำลังจะพินาศ
พี่น้องทั้งหลาย เราต้องถือว่าพระเยซูคริสตเจ้าเป็นพระเป็นเจ้า และผู้พิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย เราควรเทิดทูนพระองค์ไว้อย่างสูง เพราะถ้าเราเคารพพระองค์ไม่เพียงพอ เราจะได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์น้อย อนึ่ง ผู้ที่ได้ยินสิ่งเหล่านี้และถือว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยไม่สำคัญ เขาก็ทำบาปและเราเองก็ทำบาปด้วย ถ้าเราไม่สำนึกว่าเราถูกเรียกมาจากไหน ใครได้เรียกเรา เรียกไปที่ไหน และพระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงรับทรมานมากมายเพียงใดเพื่อเรา
เราจะทดแทนพระคุณของพระองค์ได้อย่างไร? เราจะผลิตผลอันใดที่จะมีค่าเท่ากับที่พระองค์ประทานแก่เรา? เพราะเรายังเป็นหนี้พระองค์ด้วย ผลประโยชน์มากมาย! พระองค์ได้ทรงส่องสว่างสติปัญญาของเรา พระองค์ทรงเรียกเราว่าลูก ดังที่บิดาเรียกบุตรของตน พระองค์ได้ทรงกอบกู้เราเมื่อเรากำลังพินาศไป เราจะสรรเสริญพระองค์ได้อย่างไร เราจะทดแทนพระคุณของพระองค์ได้อย่างไร? จิตใจเรามืดบอด เรากราบไหว้หินและท่อนไม้ ทอง เงินและทองสัมฤทธิ์ สิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นมา และตลอดชีวิตของเราเป็นแต่ความตาย ความมืดปกคลุมเราไว้ และนัยน์ตาของเราประสบแต่ความมืดมน โดยน้ำพระทัยของพระองค์ เรารอดพ้นจากเมฆที่ปกคลุมเราอยู่ และเรากลับเห็นได้อีก เหตุว่าพระองค์ทรงเห็นความผิดหลงมากมายของเรา และอาญาโทษที่รอคอยเราอยู่ พระองค์ทรงทราบด้วยว่า ปราศจากพระองค์แล้ว เราหมดหวังที่จะรอดได้ พระองค์ทรงสงสารเราและได้ทรงไถ่เราให้รอดด้วยพระมหากรุณาของพระองค์ พระองค์ได้ทรงเรียกเรา เมื่อเรายังไม่เป็นประชากรของพระองค์ และทรงพอพระทัยให้เรากลับเป็นประชากรของพระองค์
“จงชื่นชมยินดีเถิด หญิงหมันที่ไม่เคยมีบุตร จงเปล่งเสียงแสดงความยินดีเถิด ท่านที่ไม่เคยรู้สึกถึงความเจ็บปวดของมารดา เพราะภรรยาที่ถูกทอดทิ้งจะมีบุตรมากกว่าภรรยาที่มีสามีเสียอีก” เมื่อประกาศกอิสยาห์กล่าวว่า “จงชื่นชมยินดีเถิด หญิงหมันที่ไม่เคยมีบุตร” ท่านกล่าวถึงเรา เหตุว่าพระศาสนจักรได้เป็นหมันก่อนที่จะได้มีบุตรที่พระเจ้าประทานให้ เมื่อท่านกล่าวว่า “จงเปล่งเสียงแสดงความยินดีเถิด ท่านที่ไม่เคยรู้สึกถึงความเจ็บปวดของมารดา” ท่านหมายความว่า เราไม่ควรอ่อนเปลี้ยเหมือนสตรีที่กำลังจะให้กำเนิดบุตร แต่ให้ถวายคำภาวนาของเราแด่พระเป็นเจ้าอย่างซื่อๆ และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ท่านประกาศว่า “ภรรยาที่ถูกทอดทิ้งจะมีบุตรมากกว่าภรรยาที่มีสามีเสียอีก” เพราะว่าบัดนี้ ความเชื่อได้ทำให้ประชากรของเรา ซึ่งดูเหมือนพระเป็นเจ้าทอดทิ้งแล้ว มีจำนวนมากกว่าผู้ที่คิดว่ามีพระเป็นเจ้าอยู่ฝ่ายตน
ข้อความจากพระคัมภีร์อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า “เราได้มามิใช่เพื่อเรียกผู้ชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาปให้สำนึกผิด” เพราะผู้ที่ควรช่วยให้รอดคือ ผู้ที่กำลังพินาศ เป็นงานใหญ่และน่าพิศวงที่จะพยุงผู้ที่กำลังล้ม ดีกว่าที่จะพยุงคนที่ยืนมั่นอยู่แล้ว พระคริสตเจ้าทรงมีพระประสงค์กอบกู้ ผู้ที่อยู่ในอันตรายจะเสียวิญญาณ และพระองค์ได้ทรงกอบกู้ไว้มากมาย เมื่อเรากำลังวิ่งเข้าสู่ความพินาศ พระองค์ก็ได้เสด็จมาเรียกเรา.
วันนี้พระเยซูเจ้าอธิบายถึงอาณาจักรสวรรค์ ผ่านอุปมาโดยเปรียบผู้ที่จะได้เข้าในพระอาณาจักรสวรรค์ คือ ผู้ที่ฉลาด“เตรียมพร้อม” ไม่ใช่ความฉลาดหรือโง่ในแง่ของสติปัญญาที่มากมีด้วยความรู้ แต่เป็นความเฉลียวฉลาดอันมากมั่งไปด้วยไหวพริบของผู้มีปรีชาญาณรู้จักเตรียมตัวเองให้พร้อมเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า เมื่อถึงวันที่พระเจ้า เจ้าบ่าวของเราจะเสด็จมา พระเยซูเจ้าเปรียบอาณาจักรสวรรค์กับงานมงคลสมรสอยู่หลายตอน ในตอนนี้ไม่ได้เน้นกล่าวถึงผู้รับเชิญหลากหลายที่ถูกเชิญเข้ามาร่วมงาน แต่กล่าวถึงกลุ่มหญิงสาวที่ทำหน้าที่ถือตะเกียงรอรับเจ้าบ่าว คอยเวลาที่เจ้าบ่าวจะมาถึง ซึ่งจะเป็นเวลาใดนั้นไม่มีใครอาจรู้ได้ พระเยซูเจ้านำคุณลักษณะและหน้าที่ของกลุ่ม “หญิงสาวที่ถือตะเกียงรอรับเจ้าบ่าว” เปรียบดัง “ผู้รอคอยการเสด็จมาของพระเจ้า” ในที่นี้มีจำนวนรวมทั้งหมดสิบคน โดยเปรียบห้าคนดุจคนโง่ และอีกห้าคนเป็นคนฉลาด หญิงสาวสิบคนนี้ทำหน้าที่ถือตะเกียงเหมือนกัน รอคอยเจ้าบ่าวด้วยกัน แต่รอนานจนง่วงและสุดท้ายทุกคนก็หลับไปเหมือนกันหมด
หญิงฉลาดต่างกับหญิงโง่อย่างไร? หญิงฉลาดนำน้ำมันใส่ขวดไปพร้อมกับตะเกียงด้วย ในขณะที่หญิงโง่ไม่ได้เตรียมสิ่งใดติดตัวไปเลย พระเยซูเจ้ายกตัวอย่างผู้หญิง เพราะผู้หญิงมีคุณลักษณะหนึ่งที่พบเห็นได้ชัด คือ “ความฉลาดรอบคอบ” รู้จักมองการณ์ไกลอันเกิดจากปรีชาญาณและการคิดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ต่างๆ ของชีวิตจึงมักจะ “เตรียมพร้อม” ทั้ง“ตัวเอง” และ “น้ำมัน (สิ่งที่จำเป็น)” ที่จะช่วยนำพาชีวิตให้เดินหน้าต่อไปได้ในยามที่ประสบปัญหา ทำให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ อันเกิดขึ้นนั้นอย่างทันท่วงทีได้ อุปมาเล่าต่อไปว่า ครั้นเวลาเที่ยงคืน มีเสียงตะโกนบอกว่า เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกไปต้อนรับกันเถิด หญิงสาวทั้ง 10 คนจึงตื่นขึ้นแต่งตะเกียงของตนเอง หญิงโง่ต้องออกซื้อน้ำมัน ในขณะที่หญิงฉลาดไม่หวั่นวิตกใดๆ ต่อตะเกียงของตนเอง เพราะมีน้ำมันใส่ขวดสำรองไว้มาด้วย ทำให้ตะเกียงของตนเองยังคงส่องแสงสว่างสุกใส เมื่อเดินเข้าไปในห้องงานแต่งงานพร้อมกับเจ้าบ่าว
พี่น้องที่รัก พระวรสารจบลงด้วยถ้อยคำของพระเยซูเจ้าที่ตรัสกับเราทุกคนว่า “จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา” ดังนั้น
- จงใช้ชีวิตด้วยความ“ฉลาดรอบคอบและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ”
- ลุกขึ้น แต่งตะเกียงแห่งชีวิตของตนให้สว่างสุกใสอยู่เสมอด้วยคุณความดีงามต่างๆ
- ใช้ “สติ” เป็นดุจน้ำมันหรือเชื้อเพลิงเติมไฟในตะเกียงของตนให้สว่างสุกใส กลายเป็น “ปรีชาญาณ” นำทางชีวิตของตนและสำหรับคนรอบข้าง
พี่น้อง หนังสือปรีชาญาณกล่าวไว้อย่างสอดคล้างกับสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสกับเราว่า “ผู้ลุกขึ้น แสวงหาปรีชาญาณตั้งแต่รุ่งอรุณ จะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย เขาจะพบปรีชาญาณนั่งอยู่ที่ประตูบ้าน การไตร่ตรองถึงปรีชาญาณเป็นความรอบรู้อย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ตั้งตาคอยปรีชาญาณจะพ้นความกังวลโดยเร็ว ปรีชาญาณจะเดินไปแสวงหาผู้สมควรได้รับ แสดงตนอย่างอ่อนโยนแก่เขาตามทาง ไปพบเขาไม่ว่าเขากำลังคิดจะทำสิ่งใด”
ดังนั้น จงเตรียมตัวให้พร้อม ใช้สติช่วยเราให้มีเต็มเปี่ยมไปด้วยปรีชาญาณในการดำเนินชีวิต ปล่อยให้แสดงตนอย่างอ่อนโยนแก่เรา ส่องหนทางที่เราควรเดิน อยู่กับเราไม่ว่าเรากำลังคิดหรือทำสิ่งใด เพื่อวันที่บุตรแห่งมนุษย์ของเราจะเสด็จมา เราจะได้สมควรเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ และเมื่อประตูแห่งอาณาจักรผิดลง เราจะได้อยู่ร่วมในการเฉลิมฉลองพร้อมกับพระองค์ตลอดนิรันดร
ขอพระเจ้าอวยพระพร