ค้อนของศาสตราจารย์
หลายๆ ครั้ง เราพบว่าเป็นเรื่องยาก ที่จะยอมรับสิ่งที่พระเจ้าอนุญาตในชีวิตของเราเป็นพิเศษกับเรื่องที่เราไม่คาดหวัง และนำความทุกข์ยากมาสู่ชีวิตของเราและเราจะมองเพียงด้านจุดด่าน จุดเสีย โดยเราลืมไปว่าพระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อมันยากสำหรับเราที่จะเชื่อฟังคำสอนของพระศาสนจักร เช่นในช่วงมหาพรตที่ผ่านมา ยากมากที่จะถือการอดเนื้อ อดอาหาร หรือทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าในแต่ละวัน ก็มักจะมีเหตุผลเข้าข้างตนเองต่างๆ นาๆ
มีเรื่องราวเล่าขานถึงโรงไฟฟ้าปรมาณู ขนาดใหญ่ ที่ทำงานผิดปกติ ที่นั้นไม่มีวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ของโรงงานคนใดสามารถทราบสาเหตุของปัญหาได้ ในที่สุดศาสตราจารย์ผู้มีชื่อเสียงในสาขานี้ก็ถูกเรียกตัวจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เพื่อขอคำปรึกษา ศาสตราจารย์สำรวจสถานการณ์แล้วขอค้อน เขาหยิบค้อนในมือเดินไปที่ท่อแล้วฟาดมันอย่างแรง ทันใดนั้นโรงงานก็เริ่มทำงานอีกครั้ง ทุกอย่างกลับมาทำงานได้ตามปกติต่อมา เขาได้ยื่นใบเรียกเก็บเงินค่าบริการแบบแยกรายการเป็นจำนวน 300,300 บาท ข้อความอ่านได้ดังนี้: “สำหรับการตี 300 บาท รู้ว่าจะโจมตีที่ไหน 300,000 บาท”
วิศวกรต้องการปกป้องโรงงานจากการถูกทำลาย แต่พวกเขาไม่มีความรู้หรืออำนาจที่จะทำเช่นนั้นได้ ศาสตราจารย์มีความรู้และพลัง แต่เขาต้องการให้วิศวกรและนักวิทยาศาสตร์โทรหาเขา
พระคริสต์ทรงเป็นทั้งวิศวกรและศาสตราจารย์พระองค์ทรงต้องการให้ชีวิตของเราเจริญรุ่งเรืองด้วยความสุขที่ยั่งยืน สติปัญญา และของประทานพระหรรษทานทั้งหมดของพระจิต เหมือนกับโทมัสที่ขอ “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์และไม่ได้เอามือคลำที่ข้างพระวรกาย ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” ดังนั้น ไม่ว่าขอหรือพระเจ้าทรงประทานให้อะไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ตาม สิ่งต่างๆ ก็หลั่งไหลมาจากทั้ง ความรัก ของพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดและพลังอำนาจของพระองค์ในฐานะพระเจ้าของเรา เราเป็นผู้โชคดีที่ได้รับ ได้รู้จัก ได้สัมพันธ์กับพระองค์ การรับพระหรรษทานอันใหญ่ยิ่ง มาพร้อมกับการส่งต่อ สะท้อนความรักความเมตตาของพระองค์สู่ผู้อื่นด้วย นี่คือหน้าที่ของเรา
จงเป็นกระจกแห่งความเมตตาของพระเจ้า
สำหรับเรา โดยปกติแล้วเราจะรู้สึกว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา แต่สำหรับคนจำนวนมากที่อยู่รอบตัวเรา ซึ่งไม่รู้จักพระเยซูเป็นการส่วนตัวมักจะรู้สึกตรงกันข้ามพวกเขามองว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าผู้เรียกร้องและพวกเขาไม่รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่มีเมตตา พวกเขาจะไม่มีมวันกล้าติดตามพระเยซูจนกว่าพวกเขาจะประสบกับพระเมตตาได้รับพระหรรษทานจนพบความสุขและความหมายที่เขาปรารถนา
นี่คือสาเหตุที่พระเยซูเจ้าทรงประทานพระบัญญัติให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนที่พระองค์ทรงรักเรา พระองค์ทรงต้องการให้เราเป็นกระจกสะท้อนถึงความดีงามของพระองค์เพื่อว่าผู้คนจะค้นพบความดีงามและความเมตตาของพระองค์ผ่านทางชีวิตของเรา ดังที่บทอ่านแรกวันนี้แสดงให้เห็นว่า: “ชุมชนของผู้เชื่อมีหัวใจเดียวและความคิดเดียว … ไม่มีคนขัดสนในหมู่พวกเขา”
อัตลักษณ์ที่โดดเด่นของคริสตชน คือ ความรักที่หลงลืมตนเอง ซึ่งทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นควรเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของเรา เช่นกันทุกๆ วันในครอบครัว ที่โรงเรียน ที่ทำงาน เรามีโอกาสที่จะเป็นกระจกสะท้อนถึงความดีงามของพระเจ้า : เวลาเรานั่งข้างคนที่กินข้าวเที่ยงคนเดียวเพราะไม่มีใครชอบเมื่อเราปลอบใจญาติหรือเพื่อนบ้านที่กำลังทุกข์อยู่เมื่อเราพยายามฟังอย่างมีเมตตาและรอบคอบ แทนที่จะฟังอย่างไม่อดทน …นี่เป็นวิธีง่ายๆที่เรามีในการให้แสงสว่างของพระเจ้าส่องเข้าไปในใจที่มืดมน สัปดาห์นี้พ่อเสนอแนวทาง เราจะทำหน้าที่ในส่วนของเราเพื่อกระจายแสงสว่างแห่งความรอดแห่งพระเมตตาของพระองค์ สามวิธี
สามวิธีในการแพร่กระจายความรอด
เราคือผู้โชคดีเพราะเรารู้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นทั้งพระผู้ช่วยให้รอดและองค์พระผู้เป็นเจ้า
แต่แล้วคนรอบข้างเราล่ะที่ยังไม่พบพระคริสต์หรือสนิทสัมพันธ์กับพระเยซู?
พวกเขากำลังค้นหาพระผู้ช่วยให้รอด และพวกเขาต้องการพระเจ้า
เราจะช่วยพวกเขาค้นหาสิ่งที่เราพบได้อย่างไร? ผ่าน3 W : Way(ทางปฏิบัติ) Word(วาจา)และWork for(การกระทำเพื่อ…)
ประการแรก เราสามารถช่วยให้ผู้อื่นค้นพบความดีงามของพระเจ้าโดยวิธีที่เราปฏิบัติต่อพวกเขา ลองนึกถึงวิธีที่พระเยซูทรงปฏิบัติต่อเราในศีลมหาสนิท เขาเป็นคนอ่อนโยน ถ่อมตัวและศรัทธา เราควรจะเป็นเหมือนการดำเนินชีวิตในศีลมหาสนิทเป็นทางนำพระเยซูเจ้าสู่คนรอบข้างเราหรือเป็นทางนำคนรอบข้างมาหาพระองค์
ประการสอง เราสามารถช่วยผู้อื่นให้กล้าติดตามพระเจ้าด้วยคำพูดของเรา จดหมายของยากอบเตือนพวกเราว่าบุคคลที่ฝึกลิ้นได้บรรลุถึงความสมบูรณ์แล้ว เท่ากับพวกเราต้อนรับพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเราในปากของเราในผ่านทางพิธีศีลมหาสนิท แล้วเราจะไปใช้ปากแบบเดียวกันนั้น วิพากษ์ วิจารณ์ นินทา สร้างบาดแผลและทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้อย่างไร สิ่งที่ถูกต้องคือหากเราใช้คำพูดเพื่อให้กำลังใจนำทางและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง พวกเขาจะได้ยินการเรียกของพระเจ้าในใจพวกเขาได้ง่ายขึ้น
ในที่สุด เราจะสามารถนำพระมาสู่ผู้อื่นหรือพาพวกเขามาหาพระผู้ช่วยให้รอดผ่านการกระทำของเรา
สิ่งที่เราทำพันธสัญญาใหม่บอกเราว่า “ไม่ว่าเราทำสิ่งใด เราควรจะทำ เพื่อถวายเกียรติ แด่พระเจ้า” ตั้งแต่การพับผ้าเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงการดำเนินกิจการบริษัทข้ามชาติก เป็นโอกาสที่จะแสดงให้พระเจ้าเห็นว่าเรารักพระองค์ ด้วยการทำทุกอย่างในแบบที่พระองค์จะพอพระทัย ทุกวันทำให้เรามีโอกาสใหม่ๆในการเผยแพร่ความรอดและการเป็นเจ้านายของพระคริสต์สู่หัวใจที่ต้องการพระองค์อย่างยิ่ง สัปดาห์นี้ ให้เราคว้าโอกาสนั้นด้วยมือทั้งสองข้างผ่านทางแนวทางปฏิบัติ วาจา และการกระทำของเรา และในระหว่างพิธีมิสซานี้ ได้นำพระองค์ไปสู่เพื่อนพี่น้องของเรา.