“ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำพังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด”
พระเยซูเจ้าไม่ได้ตรัสข้อความนี้กับบรรดาสาวกที่ออกไปทำงานเท่านั้น แต่ยังตรัสกับพวกเราทุกคนด้วย แน่นอนว่าไม่เฉพาะบรรดาพระสงฆ์นักบวช แต่กับคริสตชนทุกคนด้วยเช่นกัน
บรรดาสาวกที่ออกไปทำงานตามที่พระเยซูเจ้าทรงส่งไป พวกเขาตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์กำชับไว้ และเมื่อทำตามคำแนะนำของพระองค์ แน่นอนว่าย่อมเกิดผล แต่ในขณะเดียวกันความต้องการของประชาชนก็มีมากเหลือเกิน พวกเขาทำงานจนกระทั่ง “ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกินอาหาร” (มก 6:32)
แทนที่งานจะเกิดผลดี แต่ ณ เวลานี้งานเกิดผลร้ายกับตัวพวกเขาเอง
บ่อยครั้งทีเดียวเราตั้งใจกับบางสิ่งมากๆ อาจเรียกได้ว่าเป็น “โครงการ” ที่เราตั้งใจไว้ เราพยายามทำโครงการของเราให้สำเร็จ เป็นโครงการที่เมื่อเสร็จแล้วจะเกิดประโยชน์มากมาย ทั้งต่อตัวเรา ต่อคนที่เรารัก ต่อสังคมและคนมากมาย ดังนั้น เราจึงมักจะหงุดหงิดหากมีสิ่งใดมารบกวน แค่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น เสียงแจ้งเตือนไลน์ เสียงรถวิ่งผ่าน เสียงเพื่อนบ้านคุยกัน เสียงแฟนเรียกให้ไปกินข้าว เสียงลูกมาตามให้ไปเล่นด้วย ฯลฯ แม้แต่ความเหนื่อยล้าของตัวเราเอง เราก็ไม่อยากให้มาเป็นอุปสรรคต่อสิ่งที่เรากำลังทำ
เราพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ใส่ใจคนอื่นอย่างดีที่สุด ให้คนอื่นอย่างเต็มที่ แต่เรากลับลืมตัวเอง ลืมที่จะดูแลตัวเอง ใส่ใจตัวเอง ให้สิ่งดีๆ กับตัวเอง จนกระทั่งพระเยซูเจ้าต้องบอกว่า “ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำพังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด” (มก 6:31)
แล้วงานของเราล่ะ? คนที่เราต้องใส่ใจล่ะ? สิ่งที่เราต้องทำล่ะ? ถ้าหยุดทำแล้วจะเป็นอย่างไร? หากเราอ่านข้อความพระวรสารวันนี้ต่อไปอีกสักนิด เราจะพบว่าพระเยซูเจ้าทรงสงสารบรรดาประชาชนที่กำลังแสวงหาพระองค์ (มก 6:34) เป็นพระองค์ที่จะเติมเต็มภารกิจทั้งหลายของเรา เมื่อเราทำเต็มที่และถึงเวลาที่เราควรพักผ่อน
พระองค์สงสารประชาชน แต่พระองค์ก็สงสารเราผู้ติดตามและเป็นศิษย์ของพระองค์ก่อน เพราะถ้าเราหมดแรง ถ้าเราทำงานต่อไม่ไหว แล้วใครจะไปดูแลคนเหล่านั้นที่กำลังแสวงหาพระองค์?
ก่อนที่จะดูแลคนอื่น เราอาจต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน
ก่อนที่จะให้คนอื่น เราต้องเติมตัวเองให้เต็มก่อน
ก่อนที่จะรักคนอื่น จงรักตัวเองให้เพียงพอด้วย
..<ลาซารัส>..