“มีผู้นำคนใบ้หูหนวกคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์”
เส้นทางที่มาระโกเล่าในวันนี้ดูแปลกนิดหน่อยที่ “พระองค์เสด็จออกจากเขตเมืองไทระผ่านเมืองไซดอน ไปยังทะเลสาบกาลิลีกลางดินแดนทศบุรี” (มก 7:31) เพราะเมืองไซดอนอยู่ทางเหนือของเมืองไทระ และทะเลสาบกาลิลีอยู่ตอนใต้สุด ดูเหมือนว่าพระเยซูเจ้าตั้งใจขึ้นไปที่เมืองไซดอนก่อนที่จะยังทะเลสาบกาลิสี สถานที่ที่ทุกคนคุ้นเคย
“มีผู้นำคนใบ้หูหนวกคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์” (มก 7:32) การพิการซ้ำซ้อนเช่นนี้มักเกิดขึ้นกับคนหูหนวก เพราะหากหูหนวกแล้วมักจะเป็นใบ้ด้วย เนื่องจากไม่ได้ยินสิ่งที่พูด สื่อสารไม่ได้ (แต่เป็นใบ้แล้วหูไม่หนวกก็มีเยอะ)
เหตุการณ์นี้ยังชวนให้คิดถึงเพื่อนๆ ของคนอัมพาตที่พากันมาหาพระเยซูเจ้า ขอร้องให้พระองค์ช่วยรักษา (มก 2:1-12) เราไม่แน่ใจว่าพวกเขาเป็นชาวยิวหรือต่างชาติกันแน่ เพราะแม้ว่าดินแดนแถบนั้นจะเป็นคนต่างชาติเสียส่วนใหญ่ แต่ก็มีชาวยิวอาศัยอยู่ด้วย พอจะแสดงให้เห็นว่าเพื่อนๆ มีความสำคัญต่อการรักษาคนใบ้หูหนวกคนนี้ เพราะคนหูหนวกจะมีความกังวลเวลาต้องเข้าสังคมอยู่แล้ว จำเป็นต้องมีคนที่เข้าใจคอยช่วยเหลืออยู่
วิธีการรักษาของพระเยซูเจ้าวันนี้น่าสนใจมาก พระองค์ “ทรงแยกคนใบ้หูหนวกคนนั้นไปจากกลุ่มชน
ทรงใช้นิ้วพระหัตถ์ยอนหูของเขา ทรงใช้พระเขฬะแตะลิ้นของเขา ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ถอนพระทัย แล้วตรัสว่า “เอฟฟาธา”” (มก 7:33-34) แตกต่างจากที่ผ่านมาที่เพียงสัมผัส หรือกล่าววาจาก็เพียงพอ
และน่าสังเกตมากๆ ว่าพระองค์รักษา “หู” ก่อนจะรักษา “ลิ้น”
พระเยซูเจ้ากำลังบอกเป็นนัยว่าการฟังสำคัญกว่าการพูดหรือไม่?
พระองค์กำลังสอนบรรดาศิษย์ให้รู้จักฟัง สอนบรรดาฟาริสีที่ต้องเอาสิ่งที่อุดหูและขัดลิ้นออก จะได้รับรู้ความดีของผู้อื่นและพูดถึงผู้อื่นดีๆ บ้าง
พระองค์สอนเราทุกคนด้วยเช่นเดียวกัน เพราะบ่อยครั้งทีเดียวเราไม่ฟัง หรือฟังไม่ดี แล้วเมื่อพูดออกไปก็ทำให้เกิดผลเสีย บ่อยครั้งเราฟังเรื่องราวของคนอื่นมาแล้วก็พูดต่อไปโดยที่ไม่ได้ไตร่ตรอง เรามีอคติและแนวโน้มที่จะไม่ฟังให้ดี ตัดสินโดยหูเบา และพูดต่อโดยไม่เข้าใจ ไม่ฟังคำอธิบาย ไม่ฟังเหตุผลจากผู้อื่น เราเอาแต่พูดจนทำร้ายความรู้สึกของกันและกัน
ขอพระเยซูเจ้าสัมผัสหูของเราเพื่อจะได้ฟังพระองค์ ฟังเพื่อนพี่น้องรอบข้าง ฟังส่วนลึกจากหัวใจของตนเอง และให้พระองค์สัมผัสลิ้นของเราเพื่อจะได้ใช้สรรเสริญพระองค์ ให้กำลังใจเพื่อนรอบข้างเสมอ
..<ลาซารัส>..