ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด
ฉากของเหตุการณ์วันนี้เกิดขึ้นในระว่างการฉลองเทศกาลอยู่เพิง บรรยากาศของการเก็บเกี่ยวพืชผล ชาวยิวระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงดูแลพวกเขาทั้งในถิ่นทุรกันดารในอดีตและพืชผลจากการเพาะปลูกในปัจจุบัน แต่บรรยากาศแห่งความยินดีนี้ถูกขัดขวางโดยพวกธรรมาจารย์และฟาริสีที่นำหญิงที่ถูกจับขณะล่วงประเวณีเข้ามาให้พระเยซูเจ้าตัดสิน เพราะก่อนหน้านี้พวกธรรมาจารย์และฟาริสีพยายามจะจัดการพระเยซูเจ้าแต่ทำไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นบรรดาทหารที่กล่าวว่า “ไม่มีใครพูดเหมือนคนนี้เลย” (ยน 7:46) หรือนิโคเดมัสที่พยายามอธิบายพระเยซูเจ้า
อันที่จริงการที่หญิงคนนี้ “ถูกจับขณะล่วงประเวณี” หมายความว่าต้องมีผู้ชายที่เป็นคู่ขาด้วย แต่ในพระวรสารไม่ได้กล่าวถึงผู้ชายเลย นักพระคัมภีร์บางท่านให้ความเห็นว่าแม้ชาวยิวจะเป็นสังคมปิตาธิปไตย แต่ในกรณีเช่นนี้จะมีการกล่าวโทษผู้ชายด้วย และบทลงโทษที่ต้องเอาหินทุ่มจนตายจะต้องเกิดขึ้นทั้งกับชายและหญิง
แต่ในกรณีนี้มีเพียงผู้หญิงเท่านั้น เพราะจุดประสงค์ของธรรมจารย์และฟาริสีชัดเจนคือทดลองพระเยซูเจ้า
ไม่ต้องจินตนาการว่าหญิงคนนี้จะกลัวและน่าสงสารเพียงใด ตั้งแต่ถูกจับขณะล่วงประเวณี อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ถูกประจานว่าทำอะไรมาและต้องการให้ต้องโทษถึงตาย
ธรรมาจารย์และฟาริสีอยากจัดการพระเยซูเจ้าโดยไม่สนใจวิธีการ และไม่สนใจว่าจะมีผลกระทบอย่างไรต่อบุคคลอื่น พวกเขาเริ่มต้นด้วยการชี้นำพระเยซูเจ้าถึงกฎของโมเสสที่บอกให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย (ยน 8:5)
การชี้นำนี้คืออีกครั้งหนึ่งที่ชวนให้เราคิดถึง “การประจญ” ที่เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูเจ้าเริ่มพันธกิจของพระองค์ ซึ่งเราได้ยินเรื่องราวนี้ตั้งแต่สัปดาห์แรกของเทศกาลมหาพรต
พระเยซูเจ้าพยายามไม่สนใจแต่เนื่องจากถูกรบเร้า พระองค์จึงตอบว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” (ยน 8:7) ซึ่งชวนให้คิดถึงข้อความในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติที่ให้พยานถึงเรื่องนี้เป็นคนแรกที่เอาหินทุ่มผู้กระทำผิด
ธรรมาจารย์และฟาริสีน่าจะเป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์ หรือไม่ก็ต้องมีคนอย่างน้อยสองคนพูดตรงกันพามาให้ตัดสิน แต่พระเยซูเจ้าไปไกลกว่านั้นด้วยการเชิญ “ผู้ที่ไม่มีบาป” ให้เอาหินทุ่มนางเป็นคนแรก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือประชาชนค่อยๆ เดินจากไป เหลือเพียงพระเยซูเจ้ากับหญิงคนนั้น และพระเยซูเจ้าถามเธอว่า “พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ?”
คำตอบของหญิงคนนั้น “ไม่มีเลย พระเจ้าข้า” แม้เราจะไม่ได้ยินเสียง แต่เชื่อได้ว่าพระเยซูเจ้าสัมผัสได้ถึงการสำนึกผิดของเธอ ซึ่งพระองค์ก็ทิ้งท้ายว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไปอย่าทำบาปอีก”
จากความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนต้นเรื่อง พระเยซูเจ้าทำให้เธอเป็นอิสระ แน่นอนพระเยซูเจ้ารับรู้เรื่องราวของเธอ และพระองค์เลือกจะไม่ลงโทษเธอ (แม้พระองค์จะไม่มีบาปก็ตาม) ให้โอกาสเธอไปเริ่มต้นชีวิตใหม่
บ่อยครั้งทีเดียวเราตัดสินคนด้วยอคติมากมาย แต่อาจจะลืมไปว่าเราเองก็เคยทำบาปมาเหมือนกัน อย่าพยายามเป็นคนแรกที่ปาหินใส่คนอื่น แต่จงเป็นคนแรกที่เข้าใจและให้โอกาส.
…ลาซารัส…