“ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็น… ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด”
พระวรสารวันนี้ประกอบด้วยเรื่องราวของการปรากฏมาของพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนพระชนมชีพ 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็น “ค่ำวันต้นสัปดาห์” ซึ่งเป็นวันที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ทั้งการที่บรรดาสตรีไปที่พระคูหาและพบพระคูหาว่างเปล่า ทั้งการที่เปโตรกับศิษย์ที่ทรงรักวิ่งไปที่พระคูหาและพบเช่นเดียวกัน ทั้งการที่มารีย์ ชาวมักดาลาพบพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนพระชนมชีพ รวมถึงพระเยซูเจ้าร่วมเดินทางไปกับศิษย์สองคนที่กำลังเดินทางไปเอมมาอุส
ในตอนค่ำ พระเยซูเจ้ามาหาบรรดาศิษย์ของพระองค์ในห้องที่ปิดไว้ “เพราะกลัวพวกชาวยิว” ห้องนี้ทำได้เพียงแค่ซ่อนความกลัวของพวกเขาไว้ และป้องกันไม่ให้ผู้ที่พวกเขากลัวเข้ามา แต่ห้องนี้ไม่อาจป้องกันพระเยซูเจ้าได้ และพระองค์ทำให้ความกลัวของพวกเขาเปลี่ยนเป็นความกล้าหาญ
แต่ในค่ำวันนี้มี “โทมัส” ที่ไม่อยู่
เพื่อนๆ พยายามบอกโทมัสว่าเกิดอะไรขึ้น แต่โทมัสไม่เชื่อ ถึงขนาดกล่าวว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกายของพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด”
เหมือนการประชดประชันที่บรรดาศิษย์ไม่เชื่อบรรดาสตรี ไม่เชื่อมารีย์ ชาวมักดาลา ครั้งนี้เพื่อนของเขาซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกันแท้ๆ ก็ไม่เชื่อพวกเขา
ที่สุด แปดวันต่อมา เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นคล้ายๆ กับครั้งแรกคือพระเยซูเจ้าปรากฏมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้โทมัสอยู่ตรงนั้นด้วย
พระเยซูเจ้าไม่ได้ตำหนิโทมัสที่ไม่เชื่อ แต่พระองค์ปรากฏมาครั้งนี้เหมือนจะมาเพื่อโทมัสคนเดียว พระองค์ต้องการให้เขาพิสูจน์ว่าเป็นพระองค์เองจริงๆ ที่กลับคืนชีพ
สำหรับคนไม่เชื่อ พระเจ้ามีวิธีการที่จะทำให้เขาเชื่อ และเราไม่ต้องน้อยใจหากรู้สึกว่าทำไมพระเจ้าจึงใส่ใจกับคนไม่เชื่อมากเหลือเกิน สำหรับโทมัสนั้นมีบุญที่ได้เห็นพระเยซูเจ้าและได้สัมผัสพระองค์ แต่สำหรับผู้ที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัสแต่เชื่อนั้นมีความสุข
พระวาจานี้ชวนให้คิดถึง “ความสุขแท้” ในพระวาจาแรกที่บันทึกไว้ในพระวรสารนักบุญมัทธิว นี่เป็นความสุขแท้ประการสุดท้ายในพระวรสารนักบุญยอห์น ซึ่งจริงๆ น่าจะบอกกับพวกเราทุกคน เพราะเราคริสตชนทุกวันนี้ไม่มีใครเคยเห็นพระเยซูเจ้าในแบบที่บรรดาศิษย์เคยเห็น แต่พวกเราเชื่อ
“ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็นก็เป็นสุข”.
…ลาซารัส…