“บนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา”
พระศาสนจักรสมโภชนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโลในวันเดียวกันจากธรรมประเพณีที่เชื่อว่าท่านทั้งสองเป็นมรณสักขีในวันเดียวกันในช่วงปี ค.ศ. 64-67 สมัยจักรพรรดิเนโร นักบุญเปโตรเป็นมรณสักขีโดยการถูกตรึงกางเขนเอาหัวลง ส่วนนักบุญเปาโลถูกตัดศีรษะ แม้การศึกษาทางประวัติศาสตร์ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก แต่เรายังคงรักษาธรรมประเพณีการเฉลิมฉลองท่านทั้งสองในวันเดียวกันนี้มาจนถึงปัจจุบัน
แม้ทั้งสองจะดูแตกต่างกันมาก เปโตรเป็นชาวบ้าน (น่าจะเขียนหนังสือไม่ได้ด้วยซ้ำ) ประกาศข่าวดีในกลุ่มชาวยิว เป็น “ศิลา” ที่พระเยซูเจ้าจะตั้งพระศาสนจักรของพระองค์ ส่วนเปาโลเป็นนักวิชาการ ประกาศข่าวดีให้กับคนต่างศาสนา เป็นมิชชันนารีคนแรก
เมื่อทั้งสองหลั่งเลือดเป็นมรณสักขี ทำให้รากฐานความเชื่อของคริสตชนมั่นคงจนมาถึงปัจจุบัน
ภาพวาดหนึ่งเป็นภาพนักบุญเปโตรและเปาโลที่โอบกอดกัน เป็นเครื่องหมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวในความเชื่อ การโอบกอดเป็นเครื่องหมายแห่งความรักฉันพี่น้อง เพราะสิ่งที่ทั้งสองมีร่วมกันอย่างไม่อาจแยกจากกันได้คือความเชื่อและการประกาศความเชื่อในพระคริสตเจ้า
พระเยซูเจ้าตั้งใจแต่งตั้งเปโตรให้เป็น “ศิลา” เพื่อ “ตั้งพระศาสนจักรของเรา” เปโตรจึงมีสิทธิอำนาจของพระเยซูเจ้าเต็มบนแผ่นดินนี้ซึ่งส่งผลต่อแผ่นดินสวรรค์ด้วย ดังที่พระเยซูเจ้าเสริมในตอนท้ายว่า “ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”
หากมองในสายตามนุษย์ เปาโลดูจะมีศักยภาพในการสอน เด็ดขาด ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ แต่เมื่อมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นที่คริสตชนต่างชาติต้องถือธรรมเนียมของชาวยิวด้วยหรือไม่ (อ่านเพิ่มเติมในหนังสือกิจการอัครสาวก บทที่ 15) เปาโลยอมรับอำนาจของเปโตรในฐานะที่เป็นผู้นำพระศาสนจักร ส่วนเปโตรเองแม้เอนเอียงไปทางชาวยิวในตอนแรก แต่เมื่อได้รับฟังเหตุผลต่างๆ แล้วก็ยอมรับหลักการของเปาโล
ทั้งสองจึงเป็นเสาหลักของพระศาสนจักรที่แยกจากกันไม่ได้ ในขณะที่มีความเชื่อก็ต้องมีเหตุผล ในขณะที่มีอำนาจก็ต้องรู้จักรับฟัง ทั้งสองเสาหลักนี้ตั้งมั่นอยู่บนความเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสตเจ้าเท่านั้น.
…ลาซารัส…