“จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด”
เรื่องราวการส่งศิษย์เจ็ดสิบสองคนออกไปตามเมืองต่างๆ ล่วงหน้าก่อนที่พระเยซูเจ้าจะเสด็จไปนี้แสดงให้เห็นว่าหน้าที่ประกาศข่าวดีเป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่ใช่เฉพาะศิษย์ที่ได้รับเลือกเท่านั้น
นอกจากนี้ คำอุปมาเรื่องข้าวที่จะต้องเก็บเกี่ยวมีมากแต่คนงานมีน้อยยังหมายความว่าเป็นช่วงเวลาที่เราคนไทยเรียกว่า “น้ำขึ้นให้รีบตัก” เพราะช่วงเวลาที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ผลดีมีเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น หากทิ้งไว้ ข้าวก็จะเสียหาย บรรดาชาวนาจึงต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อให้ได้ข้าวที่สมบูรณ์ที่สุด ไม่ต่างจากนักเรียนที่ต้องเตรียมสอบในโค้งสุดท้าย พ่อค้าแม่ค้าที่ขายสินค้าตามเทศกาล ฟรีแลนซ์ที่ถึงกำหนดต้องส่งงาน ฯลฯ
พระวาจาวันนี้เตือนเราว่า เราทุกคนมีหน้าที่ประกาศข่าวดี ไม่ใช่เฉพาะพระสงฆ์ นักบวช หรือมิชชันนารีเท่านั้น แต่เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าทุกคนที่ต้องตระหนักถึงหน้าที่นี้ ซึ่งต้องเริ่มทำโดยทันทีเพราะเวลามีจำกัด เปรียบเสมือนช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยวที่แสนสั้น ถ้าไม่เริ่ม ณ เวลานี้ ก็จะเสียโอกาสไป
อย่างไรก็ดี พระองค์เรียกร้องให้เรา “ภาวนา” ด้วย เพื่อ “วอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์” เพราะหน้าที่นี้ต้องได้รับการสนับสนุน ต้องการพลัง ซึ่งการสนับสนุนและพลังที่ดีที่สุดคือพลังแห่งการภาวนา
เราได้สนับสนุนการประกาศข่าวดีอย่างไรบ้าง? ด้วยการภาวนา ด้วยปัจจัย ด้วยกำลังใจ หรือด้วยการเป็นผู้หนึ่งที่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซูเจ้าให้ประกาศข่าวดี?.
…ลาซารัส…