“จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ”
พระวรสารวันนี้แบ่งเป็นตอนย่อยๆ ได้ 3 ตอนคือ พระเยซูเจ้าทรงสอนให้ศิษย์ภาวนา (1-4) คำอุปมาเกี่ยวกับการวอนขอ (5-8) และพระสัญญาเมื่อวอนขอ (9-13)
บรรดาศิษย์ขอให้พระเยซูเจ้าสอนให้พวกเขาภาวนาเช่นเดียวกับที่ยอห์นสอนศิษย์ของเขา ซึ่งบทภาวนาที่พระเยซูเจ้าทรงสอนคือบท “ข้าแต่พระบิดา” ที่พวกเราทุกคนรู้จักกันดี แตกต่างกันตรงที่บทภาวนานี้ในบันทึกของลูกาจะสั้นกว่าของในมัทธิว (บทข้าแต่พระบิดาที่เราสวดกันเป็นบทที่บันทึกไว้ในพระวรสารนักบุญมัทธิว) ประกอบด้วยคำวอนขอ 5 ประการคือ 2 ประการเกี่ยวกับพระเจ้า และอีก 3 ประการวอนขอสำหรับความต้องการของเรา
เรื่องเล่าเกี่ยวกับเพื่อนผู้ไม่รู้จักกาลเทศะที่มาขอขนมปังในยามวิกาลเป็นบทนำไปสู่วิธีการวอนที่ได้ผล
พระเยซูเจ้าสอนให้ภาวนา “ขอ” “แสวงหา” และ “เคาะประตู” เหมือนเป็นขั้นตอนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
“คนที่ขอย่อมได้รับ” เราอาจเคยชินกับการขอในสิ่งที่ต้องการจากพระเจ้า ซึ่งบ่อยครั้งเป็นเพียงแค่ความอยากเท่านั้น อย่าลืมว่าพระเจ้าไม่ใช่เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่เมื่อกดก็ได้รับสิ่งที่ต้องการ แต่เราจะได้รับหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเราขอในสิ่งที่จำเป็นด้วยหรือเปล่า เหมือนในบทข้าแต่พระบิดาที่เราวอนขอ “อาหารประจำวัน” สำหรับวันนี้ สำหรับให้มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันอย่างดี
“คนที่แสวงหาย่อมพบ” หากเราขอแล้วยังไม่ได้ อาจเป็นเพราะสิ่งนั้นยังไม่จำเป็น แต่หากเรารู้สึกว่าจำเป็นจริงๆ เราต้องออกแรงด้วย มีตัวอย่างของการภาวนาที่ต้องออกแรงด้วยมากมาย เช่น เด็กที่กำลังจะสอบ การขอพระให้ช่วยอย่างเดียวย่อมไม่เกิดผลหากตัวเราไม่ออกแรงอ่านหนังสือ ฯลฯ การที่จะได้รับสิ่งใด ต้องมีส่วนที่เราออกแรงด้วยเสมอ
“คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้” ทั้งผู้ที่ต้องการจะเข้า และผู้ที่ต้องการจะออก หากไม่รู้วิธีเปิดประตูก็จำเป็นต้องออกแรงมากกว่าเดิมคือ “เคาะ” และต้องเคาะให้ผู้อื่นได้ยินจึงจะมีคนเปิดให้ หมายถึงความพากเพียรในการภาวนาที่แสดงออกถึงความแน่วแน่
แน่นอนว่าพระเจ้าเป็นบิดาที่พร้อมจะให้สิ่งดีๆ กับลูกๆ ของพระองค์ และพระองค์ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเราเสมอ บางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดที่เราคิดอาจไม่เหมือนกับที่พระเจ้าคิด และบ่อยครั้งที่พระเจ้าวางสิ่งที่ดีสุดสำหรับเราไว้ใกล้กับเราแล้ว แต่เรามัวแต่อยากได้สิ่งอื่นจนลืมสังเกตเห็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราซึ่งพระเจ้าวางไว้ใกล้เราเสมอ.
…ลาซารัส…