“ชีวิตของคนเราไม่ขึ้นกับทรัพย์สมบัติ”
พระวาจาของพระเยซูเจ้าวันนี้ช่างขัดกับโลกปัจจุบันจริงๆ ไม่มีทางที่ใครจะมีความสุขได้โดยไม่มีทรัพย์สมบัติ จนถึงกับมีคำพูดทำนองที่ว่า “ถ้าคิดว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ ก็เอาเงินมาให้ข้าพเจ้า” นอกจากนี้ ท่าทีในการต้อนรับบุคคลทุกวันนี้บ่อยครั้งก็ขึ้นกับสิ่งที่เขามี รถยนต์ซุปเปอร์คาร์ บัตรเครดิตพรีเมียม ฯลฯ
ทำไมพระเยซูเจ้ายังคงยืนยันว่า “ชีวิตของคนเราไม่ขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเขา แม้ว่าเขาจะมั่งมีมากเพียงใดก็ตาม” ทั้งๆ ที่ประสบการณ์ของเรามักเห็นแต่คนร่ำรวยเท่านั้นที่มีสิทธิ มีอำนาจต่อรองมากกว่า
แน่นอน ถ้าจะถามปัญหาถึงความเหลื่อมล้ำหรือเศรษฐกิจ ย่อมต้องถกเถียงกันนาน อาจต้องรื้อกันใหม่ทั้งระบบทั้งสังคม และคงต้องใช้เวลานานกว่าจะแก้ปัญหาได้
แต่สำหรับพระเยซูเจ้า คำสอนของพระองค์เป็นปัจจุบันเสมอ แม้เรื่องนี้ก็ตาม
พระเยซูเจ้าเล่าอุปมาเรื่องเศรษฐีผู้วางแผนจัดการทรัพย์สมบัติของตน ซึ่งสิ่งที่ชวนให้สังเกตจากเรื่องเล่านี้ก็คือ ทรัพย์สมบัติและความร่ำรวยไม่ใช่ความผิดบาป การที่บอกว่าคนร่ำรวยเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือคนบาปดูจะเป็นความใจแคบไปสักนิด หากเขาได้ทรัพย์สมบัติต่างๆ มาด้วยการออกแรงหนักและได้มาโดยสุจริต
เมื่อได้ผลจากการทำงานหนักมากมาย เศรษฐีวางแผนที่จะรื้อยุ้งฉาง สร้างที่เก็บทรัพย์สมบัติให้ใหญ่กว่าเดิม เพราะรู้สึกว่าที่เก็บนั้นไม่เพียงพอ แต่พระองค์กำลังเตือนผ่านเรื่องเล่านี้ว่าในขณะที่เขาคิดถึงแต่ตนเองและทรัพย์สมบัติ เขาลืมจะอยู่กับปัจจุบัน และปัจจุบันที่ว่านั้นคือ “คืนนี้ เขาจะเรียกเอาชีวิตเจ้าไป”
ประเด็นที่พระองค์กำลังสอนพวกเราคือ “จงเปลี่ยนหัวใจ มิใช่เปลี่ยนที่ใส่เงินทอง!”
เศรษฐีคนนั้นเปลี่ยนที่เก็บทรัพย์สมบัติเพื่อให้เก็บทรัพย์สมบัติได้มากขึ้น แต่ไม่มีตรงไหนที่เขาคิดว่าควรจะเอาทรัพย์สมบัติที่ล้นที่เก็บนั้นไปให้ผู้อื่น แม้เวลาที่คิดจะสร้างยุ้งฉางใหม่ เขาก็พูดแต่กับตัวเอง ไม่คิดถึงแม้กระทั่งครอบครัว คนที่ตนรัก คนใกล้ชิดใดๆ เลย
พระเยซูเจ้าจึงสรุปว่า “แล้วสิ่งที่ได้เตรียมไว้จะเป็นของใครเล่า?”
หากบุคคลที่เราต้องรักมีมาก แต่ใจของเราใส่ไม่พอ เราสร้างหัวใจของเราเหมือนกับที่เราสร้างที่เก็บทรัพย์สมบัติไหม?
พระเยซูเจ้ากำลังบอกเราว่า คุณค่าที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่มีในมือ แต่เป็นสิ่งที่มีในใจต่างหาก.
…ลาซารัส…