ในยุคปัจจุบันพระเยซูจะกลับคืนชีพหรือไม่ขึ้นอยู่กับเรา
ในการประกาศข่าวดีของบรรดาอัครสาวก หัวใจของการประกาศข่าวดีของพวกท่าน หรือ แก่นสำคัญของการประกาศข่าวดีก็คือ
พระเยซูเจ้าได้ตายและพระองค์ได้กลับคืนชีพ
ขอเน้นอีกครั้งหนึ่งคือ พระเยซูเจ้าได้ตายและพระองค์ได้ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ สาระสำคัญของการประกาศข่าวดีต้องประกอบด้วยทั้ง 2 สิ่งนี้ คือ ความตายและการกลับคืนชีพ จะขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้
การตายและการคืนชีพของพระเยซูเจ้าคือ พระธรรมล้ำลึกแห่งปาสกา
ท่านนักบุญเปโตร ได้ตระหนักถึงความจริงประการนี้ และในการเทศน์สอนของท่านได้กล่าวถึงเรื่องนี้แก่ผู้ฟัง
อย่างไรก็ตามในช่วงเริ่มต้นของการประกาศข่าวดี บรรดาอัครสาวกไม่อยากจะพูดถึงเรื่องความตายอันอัปยศของพระเยซูเจ้าเท่าไรนัก สำหรับพวกท่านในขณะนั้นความตายของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน ถือเป็นความอัปยศ หรือที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า สแกนเดิ้ล (Scandal) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภายใต้การนำของพระจิตเจ้า พวกท่านก็เริ่มต้นเข้าใจ ถึงความสำคัญของการตายของพระอาจารย์ของตน อันเป็นหนทางนำไปสู่การกลับคืนชีพของพระองค์ และนับตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาการเทศน์สอนก็จะพูดถึง 2 สิ่งนี้ ควบคู่กันไป
พระเยซูเจ้าจำเป็นต้องตาย เพื่อพระองค์จะได้กลับคืนพระชนม์ชีพ
ดังนั้นรหัสธรรมปาสกา ก็คือรหัสธรรมแห่งการตายและกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า
ความตายและการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า เป็นประวัติศาสตร์ซึ่งเกิดขึ้นในอดีต แต่ได้ทิ้งความสำคัญของทั้ง 2 เหตุการณ์นี้ไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง คือ เริ่มต้นแก่บรรดาอัครสาวกและแก่พวกเราคริสตชน ในยุคต่อๆมาและไม่ใช่แค่ความสำคัญเท่านั้น แต่ความตายการกลับคืนชีพยัง เป็นพลังแห่งการดำเนินชีวิต ที่พระเยซูเจ้าทรงส่งมอบต่อให้แก่บรรดาอัครสาวก และแก่พวกเราคริสตชนที่มีความเชื่อในพระองค์ ดังนั้น
ความตายและการกลับคืนชีพคือ มรดกแห่งพลังชีวิตที่
พระเยซูเจ้าทรงส่งมอบต่อให้แก่พวกเราทุกคนผ่านทางศีลล้างบาป
เมื่อเราได้รับศีลล้างบาป เราก็ได้รับมอบชีวิตใหม่ซึ่งเป็นชีวิตของพระเยซูเจ้าเข้ามาไว้ในตัวเรา และพร้อมกับชีวิตใหม่นั้นพลังแห่งการตาย หรือ จะพูดให้ชัดก็คือ พลังแห่งการยอมตาย และการกลับคืนชีพก็ถูกส่งมอบต่อให้แก่เราพร้อมๆกับชีวิตของพระเยซูเจ้าในเวลาเดียวกัน ดังนั้น นักบุญเปาโลจึงเตือนพวกเราในจดหมายของท่านถึงชาวโรมไว้ดังนี้ ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปเดชะพระคริสตเยซู ก็ได้รับศีลล้างบาปเข้าร่วมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย ดังนั้นเราถูกฝังไว้ในความตายพร้อมกับพระองค์ อาศัยศีลล้างบาป เพื่อว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายเดชะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาฉันใด เราก็จะดำเนินชีวิตแบบใหม่ด้วยฉันนั้น ถ้าเรารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการสิ้นพระชนม์ เราก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นกัน เรารู้ว่า สภาพเดิมของความเป็นมนุษย์ของเราถูกตรึงกางเขนไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อว่าร่างกายที่ใช้ทำบาปของเราจะถูกทำลาย และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป เพราะคนที่ตายแล้วก็ย่อมพ้นจากบาป (โรม 6:3-7)
การเป็นสักขีพยานองค์พระเยซูคริสตเจ้าก็คือการแสดงให้ทุกคนรับรู้ และสัมผัสกับความตายและการกลับคืนชีพของพระเยซูคริสตเจ้าในชีวิตของเราแต่ละคน
ดังนั้นการเฉลิมฉลองการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า จึงไม่ใช่แค่การมาขับร้องเพลง อัลเลลูยา อัลเลลูยา อย่างกึกก้อง ด้วยเสียงนักร้องโอเปรา ร้องซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่การฉลองการกลับคืนชีพต้องทำอย่างที่ น.เปาโล กล่าวเตือนไว้ในจดหมายของท่านวันนี้ “พี่น้องถ้าท่านทั้งหลายกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว ก็จงใฝ่หาแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบนเถิด……อย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดิน เพราะท่านทั้งหลายตายไปแล้ว (จากสิ่งของบนแผ่นดิน) และชีวิตของท่านก็ซ่อนอยู่กับพระคริสตเจ้าในพระเจ้า” ท่านใช้คำว่า “ถ้า” เพราะในความเป็นจริงชีวิตของเราอาจจะยังไม่คืนชีพก็ได้ ถ้าชีวิตนั้นยังไม่ละทิ้ง “สิ่งของบนแผ่นดิน”
จากคำพูดดังกล่าวท่านเปาโลได้อธิบายถึงความหมายของความตาย และการกลับคืนชีพ
ความตายก็คือ ชีวิตที่ตัดขาดจาการผูกผันอยู่กับสิ่งของของแผ่นดิน และการกลับคืนชีพมีชีวิตใหม่ก็คือ การที่ชีวิตของแต่ละคนรวมหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตของพระคริสตเจ้า นั่นคือ เราดำเนินชีวิตแบบเดียวกับที่พระคริสตเจ้าชีวิตที่ไม่ยึดเกาะกับสิ่งใดเลย
สำรวจดูตัวเราเองว่าเราได้กลับคืนชีพพร้อมกับพระเยซูเจ้าแล้วหรือยัง การคืนชีพพร้อมกับพระเยซูเจ้า คือการมีชีวิตที่ลอยพ้น จากสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ทั้งหลายดำเนินชีวิตที่ไม่ตกเป็นทาสของบริโภคนิยม สุขนิยม อำนาจนิยม หรือชื่อเสียงนิยม ไม่แสวงหาสิ่งเหล่านี้และพยายามตัดสิ่งเหลานี้ออกจากชีวิต
ขอมอบภาพและข้อคิดของท่านนักบุญโทมัส อาไควนัส ไว้เป็นของขวัญปัสกาแก่พวกเราทุกคน