“มีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง”
เรายังคงอยู่ในบริบทเกี่ยวกับคำสอนเรื่องการใช้ทรัพย์สมบัติที่มีในโลกนี้อย่างถูกต้อง เมื่อสัปดาห์ที่แล้วพระองค์สอนให้ใช้ทรัพย์สินในโลกนี้ “เพื่อสร้างมิตรให้ตนเอง” (ลก 16:9) กล่าวคือนอกจากใช้สิ่งที่เรามีเพื่อดำเนินชีวิตอย่างสมควรแล้ว เราควรใช้สิ่งที่เกินความจำเป็นจุนเจือให้ผู้ที่ขาดและต้องการด้วย
เรื่องของเศรษฐีและลาซารัสที่เราได้ยินในวันนี้สร้างความประหลาดใจให้กับประชาชนในสมัยนั้น เพราะพวกเขารู้สึกว่าความมั่งมีเป็นเครื่องหมายของผู้ที่พระเจ้าอวยพร ส่วนผู้ยากจนขัดสนคือผู้ที่พระเจ้าไม่อวยพร แต่กลับกลายเป็นว่าในตอนท้ายเรื่อง เศรษฐีคนนั้นต้องตกนรก
เราอาจแปลกใจว่าทำไมเศรษฐีผู้นี้ตกนรกทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขาไม่ได้ขับไล่ขอทานลาซารัส ไม่ได้ทำร้าย ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรที่ประสงค์ร้ายเลย
แต่ความผิดของเศรษฐีผู้นี้คือเขา “ไม่ทำอะไร” ทั้งๆ ที่เขาสามารถช่วยได้โดยไม่ลำบากตัวเองเลย ในขณะที่เขาจัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน ขอทานลาซารัสอยากได้เพียงแค่เศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐี แต่เขาก็ไม่คิดจะมอบสิ่งใดเพื่อช่วย ไม่เคยแบ่งปัน ไม่เคยยื่นมือเอาอาหารที่มีเหลือเฟือให้ คำประชดประชันจากเรื่องเล่านี้คือ “มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา” เหมือนต้องการจะบอกว่าแม้แต่สุนัขยังมีจิตใจดีกว่าเศรษฐีผู้นี้
ขอทานลาซารัส “นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น” แต่เศรษฐีไม่เคยสังเกตเห็น ไม่เคยใยดี ประตูบ้านของเศรษฐีเป็นเครื่องหมายถึงการแบ่งแยกโลกของเศรษฐีออกจากความจริงที่อยู่หน้าบ้าน และในโลกหลังความตายประตูบ้านนี้กลับกลายเป็นเหวใหญ่ซึ่งกั้นเศรษฐีคนนั้นกับขอทานลาซารัสออกจากกัน
บ่อยครั้งโลกของเราก็ไม่ต่างจากเรื่องเล่านี้ เราแบ่งแยกโลกของเราออกจากโลกของผู้มีความทุกข์ยากลำบาก เราปิดตา (หรือไม่พยายามมอง) จากความเป็นจริงที่มีคนอีกมากมายต้องการความช่วยเหลือ
ลองละสายตาจากโต๊ะงานเลี้ยงแล้วมองไปที่หน้าประตูบ้านแห่งชีวิตของเรา เราอาจจะเห็นขอทานลาซารัสนอนอยู่
อยู่ที่เราแล้วว่าเราจะเลือกทำอย่างไร ไล่เขาไปไกลๆ ปิดประตูใส่ เมินเฉย ทำไม่รู้ไม่เห็นเหมือนเศรษฐี หรือจะแบ่งปันสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่พอทำได้ ไม่ต้องเหนือบ่ากว่าแรงก็ได้
เพราะขอทานลาซารัสก็ไม่ได้อยากได้ทรัพย์สมบัติอะไรของเศรษฐีเลย
เขาต้องการแค่ “อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะ” เท่านั้นเอง.
…ลาซารัส…