ข้อคิดอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลธรรมดาปีC ลก4: 21-30…เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน… วันนี้นักบุญเปาโลบอกกับพวกเราว่าถ้าไม่มีความรักเราก็ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด…ความรักย่อมอดทนมีใจเอื้อเฟื้อไม่อิจฉาไม่จองหองไม่หยาบคายไม่จดจำความผิดที่ได้รับไม่เห็นแก่ตัวให้อภัยทุกอย่าง…และเราได้ปฏิบัติพระบัญญัติแห่งความรักอย่างไรบ้าง?…ให้เราได้ขออภัยโทษและขอพระองค์ได้โปรดชำระจิตใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์เพื่อจะร่วมในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณอย่างสมควร ข้อคิด…เมื่อพระเยซูเจ้าได้กลับไปยังบ้านเกิดของพระองค์ที่เมืองนาซาเร็ธประชาชนได้เชิญพระองค์ให้แสดงพระธรรมเทศนาในศาลาธรรมปฏิกิริยาแรกที่พวกเขามีต่อพระองค์ก็เป็นไปในทางบวกเพราะพวกเขารู้สึกประหลาดใจในคำพูดอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์แต่ว่าไม่ช้าไม่เร็วความพิศวงของพวกเขาก็ได้กลับกลายเป็นความรู้สึกในทางลบเป็นความรู้สึกที่ต่อต้านและเป็นศัตรู…เพราะอะไรหรือ? คนส่วนใหญ่ยังเห็นพระเยซูเจ้าเป็นลูกชายของโยเซฟซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันและพระองค์ก็น่าจะทำอะไรดีๆหรือทำอัศจรรย์ให้กับบ้านเกิดของตนก่อนที่จะไปทำให้กับที่อื่นพูดง่ายๆก็คือว่าความรักเมตตาควรจะเริ่มที่บ้านของตนเองเสียก่อนและชาวเมืองนาซาเร็ธน่าจะได้สิทธิพิเศษกว่าชาวเมืองอื่นๆ พระเยซูเจ้าอยากจะบอกกับพวกเขาว่าสิ่งที่สำคัญมิได้อยู่ที่ว่าพวกเขาเป็นใครแต่อยู่ที่ว่าพวกเขามีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าหรือเปล่า…ในพระอาณาจักรของพระเจ้าไม่มีที่ว่างสำหรับคนที่ต้องการสิทธิพิเศษความรักเมตตาของพระเจ้าเริ่มณที่ที่มนุษย์แสดงตนว่าต้องการพระองค์และเป็นความเชื่อที่เขาจะได้รับความรักเมตตาจากพระเจ้าในเรื่องนี้พระเยซูเจ้าได้ให้ตัวอย่างสองเรื่องด้วยกันคือการช่วยเหลือหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอนของประกาศกเอลียาห์และการที่ประกาศกเอลีชาได้รักษานาอามันชาวเซีเรียให้หายจากโรคเรื้อนทั้งสองคนเป็นคนต่างศาสนา เมื่อได้ยินว่าผลประโยชน์ที่พวกเขายอมทิ้งไปนั้นเพราะการขาดความเชื่อศรัทธาในองค์พระเยซูเจ้าจะไปตกอยู่กับพวกคนต่างศาสนาพวกเขาก็รู้สึกโกรธเคืองพระองค์ขึ้นมาทันทีพระเยซูเจ้ากล้าอย่างไรที่จะบอกว่าพวกคนต่างศาสนาดีกว่าพวกตนซึ่งเป็นชาวยิวเป็นประชากรที่พระเจ้าเลือกสรรพวกเขาจึงได้ขับไล่พระองค์ออกจากเมืองและต้องการจะทำร้ายพระองค์ให้ตายโดยจะผลักพระองค์ให้ตกลงมาจากหน้าผา […]