ข้อคิดวันอาทิตย์ที่32 เทศกาลธรรมดาปีC
ลก20: 27-38…คนที่จะบรรลุถึงโลกหน้าและจะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นจะไม่แต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีกเพราะเขาจะไม่ตายอีกต่อไปเขาจะกลับคืนชีพ…พระเจ้ามิใช่พระเจ้าของผู้ตายแต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็นเพราะทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์…
พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ก็จะมุ่งประเด็นไปที่ความแน่ใจในชีวิตหน้าอันจะก่อให้เกิดความหวังที่น่าชื่นใจ…ชีวิตมิได้เป็นการเดินทางที่ไม่มีจุดหมายแต่เป็นการเดินทางมุ่งหน้าไปสู่ดินแดนแห่งพระสัญญาแห่งชีวิตนิรันดร์ความคาดหวังเช่นนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนอะไรที่เป็นของมนุษย์แต่ตั้งอยู่บนพระวาจาอันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า
ข้อคิด…ในช่วงเวลาของการใช้ชีวิตกับประชาชนของพระเยซูเจ้าพระองค์ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มชนหลายกลุ่มด้วยกันซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านของความเชื่อและค่านิยมแห่งชีวิตจากพระวรสารของวันนี้ก็มีพวกชาวสัดดูสีกลุ่มหนึ่งเข้ามาหาพระเยซูเจ้าและถามพระองค์เรื่องของการกลับคืนชีพ
ก่อนที่เราจะเข้าไปในคำถามของเรื่องการกลับคืนชีพนี้เราควรจะได้ทราบภูมิหลังว่าพวกชาวสัดดูสีเป็นใครและมีอิทธิพลอย่างไรบ้างต่อชีวิตทางการเมืองและการศาสนาของชนชาวยิว…ในศตวรรษที่2 ก่อนคริสตกาลในสมัยของพี่น้องมัคคาบีพวกเขาได้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาพรรคหนึ่งประกอบด้วยกลุ่มคนค่อนข้างมีฐานะดีทางสังคมทางการเมืองและทางการศาสนาพวกเขาได้ยอมรับเอาวัฒนธรรมและความคิดอ่านของพวกชาวกรีกในสมัยนั้น
และในสมัยของพระเยซูเจ้าพวกชาวสัดดูสีนี้ก็ยอมรับเอาวัฒนธรรมและประเพณีปฏิบัติของพวกชาวโรมันเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการคงไว้ซึ่งอำนาจและอิทธิพลเหนือพระวิหารและสภาสูงสุดของประชาชนของพวกเขาพวกเขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับพวกชาตินิยมซึ่งทำการเคลื่อนไหวต่างๆทางการเมืองอันอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศชาติได้
อิทธิพลทางโลกที่ครอบงำพวกชาวสัดดูสีทำให้พวกเขามีนิสัยแบบอนุรักษ์นิยมทำให้พวกเขาไม่เชื่อว่ามีพระแมสสิยาห์ที่จะมาช่วยพวกเขาให้รอดพ้นไม่เชื่อในการกลับคืนชีพของผู้ตายและไม่เชื่อในเรื่องของผีสางเทวดาพวกเขาเชื่อว่าทั้งคนดีและคนชั่วเมื่อตายไปแล้วก็จะไปอยู่ด้วยกันในใต้บาดาลและเพราะความคิดดังกล่าวนี้นี่เองที่ทำให้พวกเขาสามารถเสพสุขเสพความสบายในชีวิตปัจจุบันโดยไม่ต้องกังวลถึงเรื่องของชีวิตหลังความตาย
พวกชาวสัดดูสีถือว่าความเชื่อในเรื่องของการกลับคืนชีพหลังความตายนั้นเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะดังที่เขายกตัวอย่างให้พระเยซูเจ้าฟังเรื่องพี่น้องชาย7 คนต่างก็มีภรรยาคนเดียวกันโดยเริ่มตั้งแต่พี่ชายคนโตซึ่งเมื่อแต่งงานกับหญิงสาวคนนั้นแล้วต่อมาก็ตายไปภรรยาของเขาก็จะตกไปเป็นของคนที่สองและเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงน้องชายคนสุดท้องซึ่งเป็นคนที่เจ็ดก็รับเอาภรรยาของพี่ชายมาเป็นภรรยาของตนที่สุดพี่น้องชายทั้งเจ็ดนี้ต่างก็ตายไปและต่างคนต่างก็ไม่มีลูกกับภรรยาของตนอันทำให้ไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนไหนเป็นสามีที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้เพราะไม่มีผู้สืบสกุล…ในกรณีที่ว่านี้จึงมีปัญหาว่าผู้หญิงคนนี้เวลากลับคืนชีพหลังความตายแล้วจะตกเป็นภรรยาของใคร?
คำตอบของพระเยซูเจ้าก็คือว่าจะไม่มีการเปรียบเทียบระหว่างชีวิตมนุษย์ที่ทุกๆคนมีบนโลกนี้กับชีวิตแห่งการกลับคืนชีพที่เฉพาะบุตรของพระเจ้ามีในอาณาจักรสวรรค์หรือในชีวิตหน้า…ชีวิตมนุษย์บนโลกเราใบนี้ก็จะมีลักษณะเฉพาะของมันตามที่เราเห็นๆกันอยู่คือมีเกิดแต่งงานแก่เจ็บและตายส่วนชีวิตแห่งการกลับคืนชีพของผู้ชอบธรรมนั้นในฐานะที่พวกเขาเป็นบุตรของพระเจ้าพวกเขาไม่สามารถตายได้อีกเพราะพวกเขาจะมีชีวิตพระ… ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีการแต่งงานเพื่อจะมีผู้สืบสกุลบรรดาผู้ชอบธรรมไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงต่างก็เป็นสมาชิกของครอบครัวพระเจ้าเป็นครอบครัวเดียวกันจึงเป็นเรื่องไร้สาระที่จะพูดถึงเรื่องของการแต่งงาน
สำหรับผู้ชอบธรรมความตายมิได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับพระเจ้าจะต้องถูกตัดขาดลงความตายไม่สามารถทำลายมิตรภาพระหว่างพระเจ้ากับบรรดาลูกๆของพระองค์ถ้าหากว่าโมเสสเรียกพระเจ้าว่าเป็นพระเจ้าของผู้เป็นมิใช่เป็นพระเจ้าของผู้ตายดังนั้นพวกเขาจะต้องมีชีวิตอยู่ในพระเจ้าตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์